นพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งมี นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานว่า ภาพรวมสถานพยาบาลในพื้นที่เสี่ยง 7 จังหวัด ยังคงมีโรงพยาบาลปิดให้บริการ 12 แห่งเท่าเดิม ขณะที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลกลับมาเปิดเพิ่มอีก 1 แห่ง เหลือปิด 206 แห่ง
สำหรับศูนย์พักพิง มีจำนวนลดลงเหลือ 992 จุด มีประชาชนเข้าพักรวม 272,670 คน ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มเปราะบาง 71,466 คน และมีการส่งต่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสะสมแล้ว 824 ราย
ด้านการดูแลสุขภาพจิตเชิงรุก ได้มีการคัดกรองประชาชนแล้ว 176,858 ราย พบผู้ที่มีภาวะเครียดสูงสะสม 1,316 ราย และกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจิต 238 ราย ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ได้รับการคัดกรอง 8,182 ราย พบมีภาวะเครียดสูงสะสม 462 ราย และกลุ่มเสี่ยง 154 ราย ซึ่งทั้งหมดได้รับการปฐมพยาบาลทางจิตใจและติดตามดูแลอย่างต่อเนื่องจนกว่าอาการจะดีขึ้น
นพ.เอกชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์การปะทะที่ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขจึงจัดส่งรถโมบายคลายเครียดลงพื้นที่ศูนย์พักพิงขนาดใหญ่ที่มีผู้เข้าพักตั้งแต่ 1,000–3,000 คน ในจังหวัดสระแก้ว สุรินทร์ อุบลราชธานี และศรีสะเกษ พร้อมจัดบริการจิตเวชทางไกล หรือ Telepsychiatry เพื่อดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่อพยพมาอยู่ในศูนย์พักพิง รวมถึงติดตามกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว สุรินทร์ และอุบลราชธานี ทุกวันจันทร์–ศุกร์
นอกจากนี้ ยังเปิดสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ให้บริการปรึกษาฟรีตลอด 24 ชั่วโมง ควบคู่กับการเข้มมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อ โดยเฉพาะโรคติดเชื้อทางเดินอาหารและโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงจากการรวมกลุ่มของคนจำนวนมาก อาหารที่ไม่ได้อุ่นร้อน และน้ำที่อาจปนเปื้อน
กระทรวงสาธารณสุขได้ปรับปรุงด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม เน้นย้ำการใช้น้ำสะอาด การบริโภคอาหารที่อุ่นร้อน การตรวจจับผู้มีอาการระบบทางเดินหายใจในศูนย์พักพิงที่มีความหนาแน่น เพื่อแยกกักได้ทันท่วงที พร้อมรณรงค์มาตรการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ที่มีอาการป่วย








