พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ไทยมีจุดยืนในการปกป้องอธิปไตยภายใต้หลักมนุษยธรรม 7 ข้อ คือ 1. ไทยไม่ใช้ผู้เริ่มต้นเหตุความขัดแย้ง 2. ยึดหลักกติกาสากลในการปฏิบัติ 3. หลีกเลี่ยงการโจมตีที่กระทบพลเรือน 4. ปฏิบัติการเฉพาะจุดที่เป็นภัยคุกคาม 5. การอพยพประชาชน เป็นการตัดสินใจของฝ่ายกัมพูชาไม่ใช่ผลจากการปฏิบัติของฝ่ายไทย 6. ยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมสูงสุด 7. พร้อมมุ่งสู่สันติภาพที่ยั่งยืน ส่วนสถานการณ์การโจมตีกัมพูชายังคงระดมยิง BM-21 มายังฝ่ายไทยกว่า 120 นัด บนพื้นที่พลเรือน และยังระดมยิงอาวุธหนักมาอย่างต่อเนื่อง
พันเอก ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า พื้นที่ที่ไทยสามารถควบคุมไว้แล้ว ได้แก่ บริเวณช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี และพื้นที่ซำแต จังหวัดศรีสะเกษ ช่องจอม-ช่องเปรอ-ช่องระยี จังหวัดสุรินทร์ แต่ยังคงมีความพยายามโจมตีจากกัมพูชาอยู่ ส่วนพื้นที่ช่วงชิงยังคงมีการสู้รบอย่างหนักหน่วง เช่น บริเวณปราสาทตาควาย ซึ่งมียุทธภูมิสำคัญที่เนิน 350 มีทหารไทยเสียชีวิต 2 นาย ที่ยังไม่สามารถนำร่างออกมาได้ เนื่องจากถูกโจมตีจากกัมพูชาอย่างหนัก ขณะที่พื้นที่ในความรับผิดชอบของกองกำลังบูรพา กองทัพภาคที่ 1 จุดหลักอยู่ที่บ้านคลองแผง บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ซึ่งไทยพยายามควบคุมพื้นที่ โดยยังคงมีการระดมยิงด้วยอาวุธวิถีโค้ง รวมถึงการใช้จรวด BM-21 โจมตีใส่พื้นที่เกษตรและพื้นที่พลเรือน ทำให้ไทยจำเป็นต้องตอบโต้ โดยพยายามทำลายอาวุธยิงที่มุ่งเป้ามาที่ไทย เพื่อให้กัมพูชาสิ้นสภาพทางทหาร ส่วนประเด็นการโจมตีกาสิโน เพื่อการจัดการเรื่อง สแกมเมอร์นั้น ยืนยันว่าในการปฏิบัติการของทุกเหล่าทัพ ทุกเป้าหมายล้วนเป็นเป้าหมายทางทหารเท่านั้น ซึ่งมีการพิสูจน์ทราบว่าใช้เป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร เป็นที่ควบคุมโดรน คลังอาวุธ จะเห็นได้ว่ากาสิโนบางแห่งไม่ได้ถูกโจมตีเนื่องจากไม่พบว่ามีการใช้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการทางทหาร แต่ไม่ใช่กองทัพละเลยเรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์ โดยการปราบปรามสแกมเมอร์นั้นได้ร่วมกับหลายหน่วยงานแก้ปัญหา
เรือโทหญิง นภัสกร ทิพย์โส ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า ในส่วนพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือ สามารถควบคุมบ้านหนองรี จังหวัดตราด หรือบ้าน 3 หลัง ได้เป็นที่เรียบร้อย และได้มีการเข้าตรวจค้นพื้นที่ พบคลังทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งเป็นทุ่นระเบิดดัดแปลงมาจากทุ่นระเบิดดักรถถัง 16 ลูก และยังตรวจพบอีกหลายลูกบริเวณโดยรอบ แสดงถึงการจงใจสร้างอันตรายแบบไม่ระบุเป้าหมาย และเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและขัดต่อพันธกิจระหว่างประเทศ อาทิ อนุสัญญาออตตาวา ที่ระบุว่าห้ามใช้ ดัดแปลง หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งทุ่นระเบิดสังหารบุคคล กองทัพย้ำพร้อมปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของรัฐ และความปลอดภัยของประชาชน ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศและหลักมนุยธรรมอย่างเคร่งครัด
พลตำรวจตรี ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงการจับกุมชาวกัมพูชาที่อาศัยในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ก่อเหตุยั่วยุให้ประชาชนไทยและกัมพูชาขัดแย้งกัน ด้วยการปาระเบิด และถ่ายคลิปเผยแพร่ลงสื่อออนไลน์ว่า ประชาชนทั้ง 2 ประเทศไม่ได้มีความขัดแย้งกันแต่เป็นเรื่องที่ประเทศไทยรักษาอธิปไตยโดยยึดหลักกฎหมายสากลและหลักมนุษยธรรม จากการสอบสวนพบผู้กระทำผิดประมาณ 10 คน ขณะนี้จับกุมได้แล้ว 3 คน แจ้งข้อหามีและใช้วัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธไปในเมืองโดยไม่มีเหตุอันสมควร และก่อความเดือดร้อนรำคาญ ซึ่งโทษหนักสุดคือการมีและใช้วัตถุระเบิดอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 20 ปี ซึ่งทั้ง 3 รายจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายไทยอย่างถึงที่สุด เมื่อพ้นโทษจะถูกผลักดันกลับประเทศ และขึ้นบัญชีดำไว้ไม่ให้เข้าประเทศไทย ส่วนที่เหลือขอให้มามอบตัวกับตำรวจโดยเร็วขณะนี้รู้ตัวหมดแล้วและจะตามจับกุมดำเนินคดีต่อไป
สำหรับการช่วยเหลือคนไทยที่ติดค้างอยู่ที่ปอยเปต กัมพูชานั้น นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศติดตามอย่างใกล้ชิดย้ำว่า กระทรวงการต่างประเทศได้เตรียมพร้อมอำนวยความสะดวกให้ประชาชนคนไทยเดินทางออกจากปอยเปตทางอากาศ ซึ่งเที่ยวบินเพียงพอรองรับประชาชนเดินทางกลับประเทศไทย ส่วนเรื่องเอกสารการเดินทาง หากเอกสารไม่ครบ สถานทูตไทยและกงสุลใหญ่ พร้อมออกเอกสารการเดินทางฉุกเฉินให้ โดยขอให้ลงทะเบียนกับสถานทูต ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากการที่ทางการกัมพูชาประกาศระงับการเดินทาง ทางบกตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ไม่เพียงระงับเฉพาะคนไทยแต่ยังรวมถึงชาวต่างประเทศอื่นด้วย ถือเป็นการกระทำที่ผิดหลักสากล และกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้น เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จึงทำหนังสือถึงข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน ฉบับที่ 2 เพื่อชี้แจงความถูกต้อง และจุดยืนของไทยต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนของฝ่ายกัมพูชา
นอกจากนี้กรณีสื่อกัมพูชานำเสนอข่าวทหารไทยโจมตีพื้นที่เขตเมืองปอยเปต โดยพลเรือตรี สุรสันต์ ชี้แจงว่าจากการตรวจพบว่ามีทหารกัมพูชาขนอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาในเขตเมืองปอยเปต ตรงข้ามจุดผ่านแดนบ้านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว ต่อมาฝ่ายกัมพูชายังคงระดมยิงอาวุธหนักเข้ามาในดินแดนอธิปไตยของไทยอย่างต่อเนื่องตลอดแนวชายแดน ทำให้ไทยต้องสกัดกั้นการซ่องสุมกำลังของฝ่ายกัมพูชา ภายในโกดังบริเวณนอกเมือง ปอยเปต ใกล้แนวชายแดนจังหวัดสระแก้ว
ด้านพลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เป้าหมายที่โจมตีคือบริเวณคลังเก็บอาวุธ กระสุนวัตถุระเบิด โดยเฉพาะจรวด BM-21 ซึ่งกัมพูชานำมาระดมโจมตีทั้งกำลังพลและพลเรือนไทย ทั้งนี้ไทยได้พิสูจน์ทราบชัดเจนว่าเป้าหมายดังกล่าวเป็นเป้าหมายทางทหาร จึงนำมาซึ่งการปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายดังกล่าว ย้ำว่าปฏิบัติการทางทหารของกองทัพไทยมุ่งเน้นโจมตีเป้าหมายทางทหาร และปฏิบัติการบนพื้นฐานของการปกป้องเอกราชอธิปไตย ภายใต้หลักมนุษยธรรม
ขณะที่นางมาระตี กล่าวถึงกระแสข่าวดังกล่าวด้วยว่า เป็นการสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ติดต่อกับคนไทยที่อยู่ในเมืองปอยเปตแล้ว ยืนยันว่าทุกคนปลอดภัยดีขอให้ญาติที่อยู่ในประเทศไทยมีความสบายใจ ทั้งนี้ขอย้ำว่ากระทรวงการต่างประเทศพร้อมอำนวยความสะดวกแก่คนไทยที่ประสงค์จะเดินทางกลับประเทศอย่างเต็มที่ และพร้อมออกเอกสารเดินทางฉุกเฉินให้
พลเรือตรี จุมพล นาคบัว โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) กล่าวว่า ศรชล. มีความห่วงใยผู้ที่ดำเนินกิจการเดินทางผ่านทางทะเล ในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา จึงได้ออกประกาศแจ้งเตือนการเดินทาง เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเป้าหมายจากการใช้อาวุธ ขอให้เรือสินค้า และเรือประมงไทยสัญชาติไทย หลีกเลี่ยงการนำเรือเข้าไปในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งดังกล่าว สำหรับเรือสินค้าหรือเรือประมงที่จะเข้าไปในพื้นที่ทางผ่านใกล้เคียงอาจได้รับผลกระทบจากการรบกวนการส่งสัญญาณ ส่งผลให้อาจได้รับอุบัติเหตุ ขอให้ผู้ประกอบการติดตามสถานการณ์ข้อมูลด้านการข่าวกับ ศรชล. โดยใกล้ชิด และแจ้งให้ ศรชล. ทราบ และขอความร่วมมือกรณีพบการลักลอบขนน้ำมันหรือการใช้โดรนด้วย หากพบการใช้โดรนในพื้นที่อ่อนไหวต่อความปลอดภัยขอให้แจ้ง ศรชล. ทันที
ทั้งนี้ สำนักงานโฆษกกองทัพเรือ ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีการตรวจพบอากาศยานไร้คนขับบริเวณแท่นขุดเจาะกลางทะเล ระบุว่า ตามที่มีสื่อบางสำนักนำเสนอข่าวในลักษณะกล่าวอ้างว่า กองทัพเรือเพิกเฉยและไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ต่อกรณีการตรวจพบอากาศยานไร้คนขับเข้ามาก่อกวนบริเวณแท่นขุดเจาะกลางทะเลของบริษัท ปตท. นั้น เรือโทหญิง ปรียาดา บัวสมบุญ ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ ชี้แจงข้อเท็จจริงว่า กองทัพเรือได้มีช่องทางการติดต่อและการประสานงานโดยตรงระหว่างกลุ่มบริษัทผู้ผลิตน้ำมันหลายบริษัทที่ปฏิบัติงานในอ่าวไทย กับทัพเรือภาคที่ 2 มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับสถานการณ์ด้านความมั่นคงทางทะเลในทุกมิติ โดยหลังได้รับแจ้งจากฝ่ายรักษาความปลอดภัยของแท่นเอราวัณว่า ตรวจพบอากาศยานไร้คนขับไม่ทราบฝ่ายเข้ามาในพื้นที่แท่นขุดเจาะ ทันทีที่ได้รับแจ้งทัพเรือภาคที่ 2 ได้จัดอากาศยานออกตรวจการณ์ในพื้นที่โดยทันที เพื่อค้นหาฐานปล่อยหรือแหล่งที่มาของอากาศยานไร้คนขับดังกล่าว
กองทัพเรือยังได้ร่วมวางแผนกับฝ่ายรักษาความปลอดภัยของบริษัทผู้ผลิตน้ำมัน เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันเบื้องต้น และเตรียมความพร้อมในการให้การช่วยเหลือและสนับสนุนด้านความมั่นคงอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ กองทัพเรือได้ประสานงานกับบริษัท ปตท. อย่างต่อเนื่อง และได้ร่วมกันกำหนดมาตรการในการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่สำคัญ ทั้งในทะเลและบนบก เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ด้านพลังงานของประเทศ ล่าสุดได้รับคำยืนยันจากผู้บริหารระดับสูง ของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ว่าที่ผ่านมา บริษัทได้ประสานงานร่วมกับกองทัพเรือ และศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) มาอย่างต่อเนื่อง และบริษัทไม่เคยมีการให้ข่าวในลักษณะนั้นแต่อย่างใด
สำหรับการดูแลสิทธิประโยชน์กำลังพล พลเรือตรี สุรสันต์ กล่าวว่า จากการประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 11/2568 ที่ประชุมเห็นชอบส่งกำลังบำรุงให้หน่วยแนวหน้าพร้อมยกระดับจัดสรรสิทธิประโยชน์ เบี้ยเลี้ยง และสวัสดิการ ให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ในแนวหน้าอย่างถูกต้องและทันท่วงที ด้านการศึกษาได้ลงนามร่วมมือกับสถาบันการศึกษาหลากหลายสถาบัน และได้ลงนาม MOU ความร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนาหลักสูตรสำหรับพัฒนาทักษะ พร้อมมอบโควตาสิทธิพิเศษทางการศึกษาให้กับกำลังพลและครอบครัวเพื่อสร้างโอกาสทางวิชาชีพ ทั้งกำลังพลในแนวหน้าและกำลังพลจากหน่วยต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร ด้านความมั่นคงชายแดน ได้สั่งการบูรณาการกำลังร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงชายแดน เพื่อยกระดับรักษาความมั่นคงความปลอดภัยตามแนวชายแดนตลอดจนรักษาความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่
นายมงคล สงคราม รองอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวถึงมาตรการเฝ้าระวังด้านแรงงาน เนื่องจากสถานการณ์บริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผู้ประกอบการและแรงงาน การว่างงาน การเคลื่อนย้ายแรงงาน รวมทั้งแรงงานต่างด้าวที่เดินทางกลับประเทศ โดยมีหน่วยงานในสังกัดที่พร้อมให้การเยียวยากับแรงงานที่ได้รับผลกระทบและผู้ที่อยู่ในศูนย์พักพิง ทั้งสิทธิประโยชน์จากประกันสังคม การว่างงาน การชดเชย หรือสิทธิต่างๆ ส่วนกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมีการติดตามค่าจ้างค้างจ่ายระหว่างหยุดงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจัดฝึกอาชีพให้กับผู้อพยพในศูนย์พักพิง ให้สามารถประกอบอาชีพได้หลังจากสถานการณ์สงบ กรมการจัดหางานมีตำแหน่งงานให้กับผู้อยู่ในศูนย์พักพิง มีการประสานงานการเคลื่อนย้ายแรงงานที่ออกไปทำงานในพื้นที่ปลอดภัย สำหรับมาตรการควบคุมแรงงานต่างด้าวซึ่งมีอยู่กว่า 3 ล้านคน ได้ประชาสัมพันธ์ให้นายจ้างที่มีแรงงานต่างด้าว ที่ทำงานให้ควบคุมกำกับดูแลแรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการ ขออย่าแสดงออกเชิงยั่วยุหรือสร้างความไม่สงบวุ่นวาย ทั้งนี้หากมีแรงงานต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506
สำหรับการลงพื้นที่เยี่ยมผู้ได้รับผลกระทบที่อยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรี เยี่ยมศูนย์อพยพและศูนย์พักพิง สำหรับผู้ป่วยติดเตียงที่อพยพมาจากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา และสั่งการให้ผู้ดูแลศูนย์อพยพอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนอย่างเต็มที่ ทั้งด้านที่พัก อาหาร น้ำดื่ม และการดูแลด้านสาธารณสุข ย้ำว่าอย่าให้ขาดแคลน พร้อมขอให้ประชาชนอดทน ยืนยันรัฐบาลจะเร่งแก้ไขสถานการณ์โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ
นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข จากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ 4 จุด ได้แก่ โรงพยาบาลสนาม ศูนย์พักพิงชั่วคราว และโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการดูแลสุขอนามัยและอนามัยสิ่งแวดล้อมในศูนย์พักพิง ซึ่งผลการประเมินล่าสุดพบว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานทุกแห่ง พร้อมชื่นชมการเสียสละของเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ร่วมกันดูแลประชาชนอย่างเต็มกำลัง
พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ โรงพยาบาลวังหิน อำเภอวังหิน จังหวัดศรีสะเกษ เยี่ยมเยียนและให้กำลังใจครอบครัวของ พลทหาร ภานุพัฒน์ เสาร์สา ทหารที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ บริเวณเนิน 350 โดยก่อนหน้านี้ มารดาของพลทหาร ภานุพัฒน์ ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล จากภาวะด้านสภาพจิตใจอันเนื่องมาจากความสูญเสียอย่างรุนแรง ปัจจุบันได้รับการดูแลและเยียวยาจากคณะแพทย์และพยาบาลเฉพาะทางอย่างใกล้ชิด และมีอาการทุเลาลงตามลำดับ พลโท อดุลย์ ยืนยันว่า ทหารทุกนายปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างถึงที่สุด กองทัพไม่มีวันทอดทิ้งครอบครัวของทหารกล้า และยืนยันจุดยืนว่า “แผ่นดินไทยต้องเป็นของไทย จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้”








