นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 4/2568 โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายภูมิธรรม กล่าวก่อนการประชุมว่า เศรษฐกิจไทยประสบปัญหาเรื่องการขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าศักยภาพ และสัดส่วนการลงทุนของภาครัฐและเอกชนอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับ GDP (Gross Domestic Product) ทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน จึงจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งได้อีกครั้ง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้วงเงิน 157,000 ล้านบาท
นายภูมิธรรม เน้นย้ำว่า งบประมาณถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการแก้ปัญหาดังกล่าวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะผลการเจรจาเรื่องภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ วันนี้ขอให้คณะกรรมการ ร่วมกันทบทวนและพิจารณาข้อเสนอโครงการตามมติที่ประชุมของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ และสอดคล้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อให้งบประมาณในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แน่นอนและเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปพร้อมกัน
โดยที่ประชุมฯ รับทราบมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 เรื่อง ข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้าการขอรับจัดสรรและผลการอนุมัติจัดสรรโครงการ/รายการตามแผนฯ ซึ่งสามารถติดตามความก้าวหน้าของการจัดสรรงบประมาณโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ผ่านทางเว็บไซต์ https://www.bb.go.th/peoplewatch/ ได้โดยตรงหรือเว็บไซต์สำนักงบประมาณ https://www.bb.go.th/
นางสาวศศิกานต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว หลักการและแนวทางการทบทวนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงต้องคำนึงถึงเหตุผลด้านเศรษฐกิจ การตรวจสอบ และให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้ผลกระทบ และการพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อตอบโจทย์การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในอนาคต”
ก่อนหน้านี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 โดยผ่านการพิจารณาแล้ว 115,375 ล้านบาท ครอบคลุม 481 โครงการ (8,939 รายการ) จาก 50 หน่วยงาน เพื่อเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นและสร้างผลลัพธ์
ในระยะยาว โดยมีสาระสำคัญแบ่งตามด้านต่างๆ ดังนี้
- โครงสร้างพื้นฐาน (85,000 ล้านบาท)
- ด้านน้ำ (39,136 ล้านบาท) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ พื้นที่ได้รับประโยชน์ 4.8 ล้านไร่ จ้างงาน 73,807 คน/เดือน
- ด้านคมนาคม (45,864 ล้านบาท) พัฒนาถนน 417 กม. และยกระดับจุดเสี่ยงกว่า 1,600 แห่ง จ้างงาน 285,000 คน
- ด้านการท่องเที่ยว (10,053 ล้านบาท)
- ปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยว สิ่งอำนวยความสะดวก และความปลอดภัย
- คาดดึงนักท่องเที่ยวเพิ่ม 2.7 ล้านคน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 55,000 ล้านบาท
- ด้านเกษตร แรงงาน และดิจิทัล (11,122 ล้านบาท)
- เกษตร เพิ่มรายได้ให้เกษตรกรและสถาบันเกษตร
- แรงงาน สนับสนุน SMEs กว่า 1,700 แห่ง รักษาการจ้างงาน 100,000 คน
- ดิจิทัล พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการค้า การเกษตร และบริการประชาชน
- เศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ (9,200 ล้านบาท)
- พัฒนา SML กองทุนหมู่บ้าน การศึกษา และเศรษฐกิจฐานราก
ผลที่ได้ทางเศรษฐกิจ
- งบประมาณเน้นกระจายไปยังพื้นที่รายได้ต่ำ โดยเฉพาะภาคอีสาน
- จังหวัดยากจนและขนาดเศรษฐกิจเล็กได้รับงบมาก ส่งผลกระตุ้นเศรษฐกิจสูง
- ส่งเสริมการจ้างงานกว่า 7.4 ล้านคน เงินจ้างงานหมุนเวียนกว่า 34,000 ล้านบาท
- คาดกระตุ้น GDP เพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.4
- วางรากฐานการพัฒนาในระยะยาว ทั้งทุนมนุษย์ โครงสร้างพื้นฐาน และการยกระดับ
ขีดความสามารถในการแข่งขัน
ทั้งนี้ โครงการที่ได้รับการอนุมัติภายใต้วงเงิน 115,375 ล้านบาท ล้วนเป็นโครงการที่มีความพร้อม ดำเนินการได้ทันที เนื่องจากมีแผนงานชัดเจนและสามารถจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในกรอบงบประมาณกลางปี 2568 โดยต้องลงนามในสัญญาผูกพันงบประมาณภายในวันที่ 30 กันยายน 2568 และใช้จ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2569 สำหรับวงเงินส่วนที่เหลือประมาณ 41,000 ล้านบาท จากกรอบงบประมาณรวม 157,000 ล้านบาท จะมีการพิจารณาเพิ่มเติมในรอบถัดไป
นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลาง ชี้แจงกรณีข่าวที่ระบุว่า “การจัดซื้อจัดจ้างงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ยื่นประมูลรายเดียว รับงานได้เลย”เป็นการนำเสนอข้อมูลไม่ครบถ้วนและอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด โดยระบุว่า กรณีที่มีผู้ยื่นข้อเสนอเพียงรายเดียว หรือมีผู้ยื่นหลายรายแต่ตรงตามเงื่อนไขเพียงรายเดียว หน่วยงานรัฐต้องปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 56 วรรคหนึ่ง ซึ่งกำหนดว่าโดยหลักแล้วต้องยกเลิกการประกวดราคา เว้นแต่คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่ามีเหตุผลอันสมควรจึงจะดำเนินการต่อได้ตามข้อ 57 หรือ 58
ทั้งนี้ การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐต้องเป็นไปตามหลักกฎหมาย ความคุ้มค่า ความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ ตามมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างฯ พ.ศ. 2560 และประชาชนสามารถติดตามข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างตามกรอบ 1.57 แสนล้านบาท ได้จาก www.gprocurement.go.th