ตามที่กฎกระทรวงกําหนดให้ผ้าอนามัยชนิดสอดจัดเป็น เครื่องสําอาง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2564 นั้น
ภญ. สุภัทรา บุญเสริม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข และรักษาการรอง เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ผ้าอนามัยทั้งแบบใช้ภายนอกและชนิดสอดถูกจัดเป็นเครื่องสําอางตามพระราชบัญญัติเครื่องสําอาง มาโดยตลอด ซึ่งเป็นไปตามคํานิยามของเครื่องสําอางที่เป็นวัตถุที่มุ่งหมายสําหรับใช้ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ หรือกระทําด้วยวิธีอื่นใดต่อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายเพื่อความสะอาด ฯลฯ แต่เมื่อพระราชบัญญัติ เครื่องสําอาง พ.ศ. 2558 มีผลบังคับใช้ ได้กําหนดนิยามของเครื่องสําอางให้ใช้เฉพาะภายนอกร่างกาย จึงทําให้ ผ้าอนามัยชนิดสอดไม่เข้าข่ายเป็นเครื่องสําอาง เนื่องจากมีการสอดเข้าไปในร่างกาย ไม่สอดคล้องกับคํานิยาม ดังกล่าว
แต่เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค กระทรวงสาธารณสุข โดย อย. จึงเห็นสมควรออกกฎกระทรวงให้ ผ้าอนามัยชนิดสอดเป็นเครื่องสําอางดังเดิม เพราะจะได้มีการกํากับดูแลให้ผลิตภัณฑ์ได้มาตรฐานความปลอดภัย ควบคุมการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ รวมทั้งมีการแสดงคําเตือนที่ฉลาก เพื่อให้ผู้บริโภคได้ศึกษาทําความเข้าใจ ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ด้วย
ทั้งนี้ ผ้าอนามัย จัดเป็นสินค้าที่มีความจําเป็นในชีวิตประจําวัน เป็นรายการสินค้าควบคุมของกระทรวง พาณิชย์ จึงไม่มีการจัดเก็บภาษีผ้าอนามัยในอัตราภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยตามที่เป็นข่าว มีเพียงการจัดเก็บ ภาษีมูลค่าเพิ่มเหมือนสินค้าชนิดอื่น ๆ เท่านั้น
สําหรับข้อควรระวังในการใช้ผ้าอนามัย ชนิดสอดที่ผู้บริโภคควรให้ความใส่ใจ คือ ไม่ควรใช้เมื่อภาชนะบรรจุฉีกขาด ไม่ควรใส่ไว้ในช่องคลอดนานเกิน 8 ชั่วโมง โดยควรเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 4-8 ชั่วโมง ขณะใช้ หากมีอาการเป็นไข้สูงเฉียบพลัน คลื่นเหียน อาเจียน วิงเวียน หน้ามืด ท้องเดิน หรือมีผื่นแดงขึ้นตามผิวหนัง ให้นําผ้าอนามัยออก และรีบไปพบแพทย์ทันที
ที่สําคัญ การเลือกซื้อผ้าอนามัยชนิดสอด ควรซื้อจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ ผลิตภัณฑ์มีฉลากภาษาไทยแสดงข้อความอันจําเป็น ครบถ้วน เช่น ชื่อและที่ตั้งผู้ผลิตหรือผู้นําเข้า เลขที่ใบรับจดแจ้ง วันเดือนปีที่ผลิต วัสดุที่ใช้ วิธีใช้ คําเตือน เป็นต้น ผู้บริโภคควรอ่านฉลากให้ละเอียดโดยเฉพาะวิธีใช้ รวมทั้งปฏิบัติตามคําเตือนอย่างเคร่งครัด