กรณีสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เตรียมจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของผู้ประกอบการรถบรรทุกทั่วประเทศ เพื่อเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลควรจะออกมาตรการลดค่าภาษีสรรพสามิตลงอย่างน้อยราคาลิตรละ 5 บาท เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี
.
กระทรวงพลังงาน ขอชี้แจงว่า สำหรับมาตรการของกระทรวงพลังงานได้กำหนดผลิตภัณฑ์หรือชนิดน้ำมันดีเซลเป็นชนิดบี 6 ชนิดเดียวและลดค่าการตลาดน้ำมันดีเซล เพื่อลดผลกระทบผู้บริโภคช่วงระยะสั้น จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกและราคาน้ำมันไบโอดีเซล (B100) ที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันในประเทศปรับตัวสูงขึ้นและส่งผลต่อภาระค่าใช้จ่ายของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง(กองทุนน้ำมันฯ) ที่ต้องจ่ายเงินชดเชยน้ำมันไบโอดีเซล(B100) และการที่น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B7 ได้มีราคาสูงกว่า 30 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความเดือดร้อนจากสถานการณ์ราคาดังกล่าว เนื่องจากปริมาณการใช้น้ำมัน B7 เป็นร้อยละ 56 ของการใช้น้ำมันดีเซลทั้งหมด
.
นอกจากนี้กระทรวงพลังงาน ได้ออกมาตรการบรรเทาผลกระทบของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ปรับตัวสูงขึ้นทันที โดยปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B7 จาก 1.00 บาทต่อลิตร เป็น 0.01 บาทต่อลิตร ซึ่งมาตรการนี้เริ่มดำเนินการแล้วตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2564 และยังปรับลดสัดส่วนผสมขั้นต่ำของไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B7 น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาเป็นร้อยละ 6 โดยปริมาตร
.
พร้อมทั้งเห็นชอบค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา เท่ากับ 1.40 บาทต่อลิตร โดยมาตรการดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ระหว่างวันที่ 11-31 ตุลาคม 2564 ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลจะลดระดับลงมาคงอยู่ที่ประมาณ 28 บาทต่อลิตร และกระทรวงพลังงาน จะมีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและกำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชนในระยะต่อไป
.
สำหรับกรณีขอเรียกร้องให้นำเงินกองทุนพลังงานมารักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันดีเซลให้อยู่ในระดับ 25 บาทต่อลิตร เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของรถบรรทุกขนส่งสินค้า
.
กระทรวงพลังงาน ขอชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่องราคาน้ำมันของไทยประกอบด้วย ต้นทุนเนื้อน้ำมัน (ร้อยละ 40 – 60) คือต้นทุนน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตจากโรงกลั่น ซึ่งอ้างอิงราคาตามตลาดกลางภูมิภาคเอเชีย / ภาษีต่างๆ (ร้อยละ 30 – 40) ได้แก่ ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อนำมาใช้เป็นงบประมาณในการพัฒนาประเทศ และบำรุงท้องถิ่น / กองทุนต่างๆ (ร้อยละ 5 – 20) เช่น กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน / ค่าการตลาด (ร้อยละ 10 – 18) คือส่วนที่เป็นต้นทุน ค่าใช้จ่าย และกำไรของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันทั้งระบบ ตั้งแต่การจัดการคลังน้ำมัน การขนส่งน้ำมันมายังสถานีบริการ รวมถึงการให้บริการของสถานีบริการที่เติมน้ำมันแต่ละลิตรให้กับประชาชน
.
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ราคาน้ำมันแต่ละลิตรที่เราจ่ายไป ส่วนหนึ่งเป็นเงินที่ต้องนำส่งเข้า “กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง” ซึ่งกำหนดโดยคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อเป็นกลไกในการรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันและช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยเมื่อเวลาที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง กองทุนน้ำมันจะลดอัตราเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ลงจนอาจจะไม่เก็บหรือนำเงินออกมาชดเชย เพื่อที่ผู้ค้าจะได้ไม่ต้องปรับขึ้นราคาน้ำมันอย่างรวดเร็วเท่ากับการปรับตัวขึ้นของราคาตลาดโลกจนส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค
.
กรณีที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงกองทุนน้ำมัน จะพิจารณาเก็บเงินเข้ากองทุนเพิ่มเพื่อทดแทนเงินที่ชดเชยไปและเพื่อสำรองไว้ใช้รับมือกับความผันผวนของราคาน้ำมันที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต โดยกองทุนน้ำมัน ยังมีอัตราที่เรียกเก็บออกไปแตกต่างกันโดยขึ้นอยู่กับน้ำมันแต่ละชนิดอีกด้วย น้ำมันบางชนิดที่มีการสนับสนุนอย่างเช่น น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ ในกลุ่มเบนซิน จะเป็นน้ำมันเบนซิน E20 E85 ซึ่งส่วนนี้กองทุนน้ำมัน ได้เข้าไปช่วยเพื่อส่งเสริมให้มีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพมากขึ้นในส่วนของกลุ่มดีเซล คาดว่าจะใช้เงินจากกองทุนน้ำมัน อุดหนุนประมาณ 3,000 ล้านบาท ต่อเดือน
.
ข้อมูล ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2564 กองทุนน้ำมัน มีฐานะสุทธิอยู่ที่ 10,235 ล้านบาท แยกเป็นบัญชีน้ำมัน 28,281 ล้านบาท บัญชี LPG (-18,046 ล้านบาท) โดยมีสภาพคล่อง (-4,215 ล้านบาท) ซึ่งคาดว่าอีก 2 เดือนกองทุนน้ำมันจะติดลบโดยกระทรวงพลังงานจะพิจารณาแนวทางในการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันที่เหมาะสมต่อไป
.
ทั้งนี้ราคาขายปลีกในประเทศมีการปรับขึ้นและลงตามราคาตลาดโลก แต่อาจจะเหลื่อมเวลากับการปรับราคาน้ำมันในตลาดบ้างในบางช่วง การที่ตลาดน้ำมันของไทยเป็นตลาดเสรีการปรับขึ้นลงราคาของผู้ค้าจึงเป็นไปตามสภาพการแข่งขันของตลาดภายในประเทศด้วยเช่นเดียวกัน และเนื่องจากสถานการณ์พลังงานโลกมีความผันผวน
.
นอกจากนี้ กระทรวงพลังงาน ยังคงติดตามสถานการณ์ และออกมาตรการต่างๆ ที่เหมาะสมเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน พร้อมทั้งติดตามดูแลความเหมาะสมของการกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอยู่เสมอ