บนก้าวย่าง : ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน

เปิดปมที่มา :

หากจำกันได้ ในยุครัฐบาล คสช. เคยมีการผลักดันร่างกฎหมายที่ชื่อว่า ‘ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. ….’ หรือ พ.ร.บ.มาตรฐานวิชาชีพสื่อ โดยสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปแห่งชาติ (สปท.) ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2561 แต่ไม่สำเร็จเสียที เนื่องจาก 30 องค์กรวิชาชีพสื่อรวมตัวคัดค้านจนทำให้มีการแก้ไข ร่างแล้วร่างอีก ตั้งแต่ สปช. มา สปท. แล้วก็สภาปฏิรูป จนผ่านความเห็นชอบ ครม. เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2565 ที่กรมประชาสัมพันธ์นำเสนอ

เจตนารมณ์ร่าง พระราชบัญญัติ :

ประการที่ 1 ก่อนหน้านี้ ร่าง พ.ร.บ. ที่สำนักนายกรัฐมนตรีโดยกรมประชาสัมพันธ์เสนอ ครม. เคยมีมติอนุมัติหลักการ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว กำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน โดยกำหนดให้มีองค์กรสภาวิชาชีพ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพและความเป็นอิสระของสื่อมวลชน (ตามมาตรา 35 แห่งรัฐธรรมนูญ ที่ระบุ การใช้เสรีภาพนั้นต้องไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน รวมทั้งเสนอข่าวนั้นจะต้องปฏิบัติตามจริยธรรมสื่อมวลชนด้วย เช่น การเสนอข้อเท็จจริงด้วยความถูกต้อง ครบถ้วนรอบด้าน และเป็นธรรม การให้ความเป็นธรรมแก่บุคคลซึ่งได้รับผลกระทบจากการเสนอข่าว หรือการแสดงความคิดเห็น เป็นต้น )

ประการที่ 2 เพื่อส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการใช้เสรีภาพของสื่อมวลชนที่ไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมสื่อมวลชน (ปัจจุบันวิชาชีพสื่อมวลชนยังไม่มีสภาวิชาชีพที่จัดตั้งตามกฎหมาย แต่วิชาชีพอื่นๆ ได้มีการจัดตั้งสภาวิชาชีพตามกฎหมายเพื่อทำหน้าที่ควบคุมการประกอบวิชาชีพให้ถูกต้องตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ เช่น สภาทนายความ และสภาวิชาชีพนักบัญชี เป็นต้น) โดยเป็นไปตามมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และแผนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ ประเด็นการปฏิรูปที่ 2 แนวทางการส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพ ซึ่งกำหนดให้มีการจัดทำร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวและกรมประชาสัมพันธ์ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (9 ก.พ. 2564) โดยพิจารณาทบทวนร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวในภาพรวมแล้ว

สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ :

  1. ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร หรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมสื่อมวลชน แต่การใช้เสรีภาพนั้นต้องไม่ขัดต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน โดยต้องเคารพและไม่ปิดกั้นความเห็นต่างของบุคคลอื่น
  2. สื่อมวลชนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมีสิทธิ์ปฏิเสธการปฏิบัติตามคำสั่งใดที่จะมีผลให้เป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมสื่อมวลชน โดยมิให้ถือว่าเป็นการขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา
  3. กำหนดให้มี “สภาวิชาชีพสื่อมวลชน” เพื่อคุ้มครองเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร หรือการแสดงความคิดเห็นของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน และกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาจริยธรรมสื่อมวลชนและมาตรฐานวิชาชีพ และให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล
  4. ให้สภาวิชาชีพสื่อมวลชน ติดตามดูแลการทำหน้าที่ของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน องค์กรสื่อมวลชน องค์กรวิชาชีพ และองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ให้เป็นไปตามจริยธรรมสื่อมวลชน และให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะแก่ภาคส่วนต่าง ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน เป็นต้น
  5. กำหนดให้สภาวิชาชีพสื่อมวลชนมีรายได้จากเงินที่รัฐบาลจ่ายให้เป็นทุนประเดิม และเงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรให้จากงบประมาณรายจ่าย เพื่อประโยชน์สาธารณะ แก่สภาฯ เป็นรายปี ไม่น้อยกว่าปีละ 25 ล้านบาท
  6. กำหนดให้มี “คณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชน” ประกอบด้วย กรรมการผู้แทนองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน จำนวน 5 คน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน ซึ่งสรรหาจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านวิชาการสื่อสารมวลชน กฎหมายสิทธิมนุษยชนหรือการคุ้มครองผู้บริโภค และกรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
  7. กำหนดให้คณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชน มีหน้าที่และอำนาจบริหารกิจการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ กำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมสื่อมวลชนของสภาซึ่งเป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานสากล และพิจารณาการขอจดแจ้งและเพิกถอนการจดแจ้งขององค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน เป็นต้น
  8. กำหนดให้มี “สำนักงานสภาวิชาชีพสื่อมวลชน” มีหน้าที่รับผิดชอบงานธุรการและอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของสภาวิชาชีพสื่อมวลชน และคณะกรรมการจริยธรรม รวมทั้งจัดทำงบดุล การเงิน และบัญชีทำการของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนส่งผู้สอบบัญชีภายใน 90 วัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ ตลอดจนจัดทำรายงานประจำปีเสนอต่อคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชน
  9. กำหนดให้สภาวิชาชีพสื่อมวลชน กำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมสื่อมวลชน โดยต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับจริยธรรมอย่างน้อยเกี่ยวกับการเสนอข่าวและแสดงความคิดเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ และมาตรการที่จะดำเนินการในกรณีที่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนหรือองค์กรสื่อมวลชนเสนอข่าวหรือแสดงความคิดเห็นโดยฝ่าฝืนหรือไม่เป็นไปตามจริยธรรมสื่อมวลชน

นานาทัศนะต่อ พ.ร.บ.จริยธรรมสื่อฯ เห็นต่าง – เห็นด้วย :

รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง ม.เกริก  ระบุ คณะกรรมการวิชาชีพสื่อ อาจจะไม่โปร่งใส เนื่องจากสภาฯ ได้รับทุนประเดิมจากภาครัฐ และเงินอุดหนุนนจากกองทุน กสทช.ปีละไม่ต่ำกว่า 25 ล้านบาท ยิ่งทำให้สื่อถูกแทรกแซง ควบคุมการทำหน้าที่สื่อได้ง่าย  พร้อมเสนอว่า หากรัฐบาลมีความจริงใจ พ.ร.บ.ฉบับนี้ ควรกำหนดบทลงโทษภาครัฐได้ด้วยหากมีการแทรกแซง ปิดกั้นการแสดงออกและเสรีภาพของสื่อมวลชน 

รศ.ดร นันทนา นันทวโรภาส

ล่าสุด นักวิชาชีพและนักวิชาการสื่อมวลชน ยื่นหนังสือเมื่อวันที่ 17 ม.ค.2565 เสนอให้มีจัดเวทีเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากทั้งสื่อมวลชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างทั่วถึง ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการของรัฐสภา จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นอย่างทั่วถึงและรอบด้าน จากสื่อมวลชนที่มีสังกัดและสื่อภาคพลเมือง ทั้งระดับบริหารและระดับปฏิบัติการ รวมถึงประชาชนทั่วไป

นายมงคล บางประภา

นายมงคล บางประภา นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน มีสาระสำคัญตรงกับร่างกฎหมายที่องค์กรสื่อมวลชนเคยร่วมกันผลักดัน ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการของการกำกับดูแลกันเอง โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐที่ไม่ผูกพันกับอำนาจของรัฐบาลใด ๆ เชื่อว่ากฎหมายฉบับนี้ หากไม่มีการแก้ไขสาระสำคัญในขั้นตอนการพิจารณาของรัฐสภา จะช่วย “อุดช่องโหว่” ในการกำกับดูแลกันเองของสื่อมวลชน ซึ่งปัจจุบันไม่มีกฎหมายรองรับ แต่เมื่อมีกฎหมาย ทุกสื่อจะต้องเข้ามาอยู่ภายใต้ร่มของการกำกับดูแล อย่างไรก็ตาม ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังต้องผ่านอีกหลายขั้นตอน โดยเฉพาะการพิจารณาของรัฐสภา ซึ่งยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี

นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ  มองว่า ร่าง พ.ร.บ. ที่ผ่าน ครม. ไม่ได้มีเนื้อหาส่วนใดส่วนหนึ่งเลยที่เป็นการจำกัดการทำหน้าที่ของสื่อ ในทางกลับกันมันจะส่งเสริมให้การกำกับดูแลกันเองทางด้านจริยธรรม ก่อนหน้านี้มองว่าไม่จำเป็นต้องมีก็ได้

“เรามีจุดยืนมาโดยตลอดว่าจะต้องไม่มีการกำกับเสรีภาพในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน และถ้ามีกฎหมายเหล่านี้ ก็ต้องไม่กำกับการทำหน้าที่สื่อ ก็เป็นการส่งเสริมล้วน ๆ ”

พ.ร.บ. ฉบับนี้ ทำให้สังคมสบายใจขึ้น ว่าอย่างน้อย หากมีสื่อนำเสนอข่าวที่ละเมิดจริยธรรม ก็ยังมีองค์กรที่เข้าตรวจสอบได้  แต่ไม่ได้หมายความว่าจะประมาท จะต้องติดตามกระบวนการตอนเข้าสภา และพยายามผลักดันให้สื่อมวลชนเป็นกรรมาธิการ ดูแลไม่ให้มีการแก้ไข ถ้าจะมีการแก้ให้กลับมาคุมสื่อ ก็คงไม่ยอม

ศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต

ขณะที่ ศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)  ระบุว่า นี่อาจจะเป็นก้าวที่ 1 ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของสื่อไทย วันนี้ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่าน ครม.แล้ว ช่วงเวลานับจากนี้คือ การเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะมีการแก้ไขข้อกฎหมายเพิ่มเติมหรือไม่นั้น คงต้องติดตามดูกันต่อไป แต่เชื่อได้ว่ากฎหมายฉบับนี้ส่งผลดีต่อสื่อมวลชนอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในด้านของการคุ้มครองเสรีภาพผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง