พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2565 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อุทกภัย ให้ความสำคัญกับการจัดทำรายละเอียดข้อมูลพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย ดินถล่มในหมู่บ้าน/ชุมชนรายการเครื่องมือ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักรกลสาธารณภัย กำหนดจุด/พื้นที่ปลอดภัย แผนรองรับการอพยพประชาชน สถานที่จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว ช่องทางการสื่อสาร และการซักซ้อมแนวทางปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุอุทกภัยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเข้าใจในการปฏิบัติงานร่วมกันเมื่อเกิดสถานการณ์ พร้อมทั้งวางแผนการติดตั้งเครื่องจักรกลสาธารณภัยในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง เมื่อมีแนวโน้มจะเกิดสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ให้แจ้งเตือนไปยังกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแต่ละระดับ เตรียมการให้ความช่วยเหลือประชาชนตามแผนผชิญเหตุอุทกภัยตลอด 24 ชั่วโมง แจ้งเตือนประชาชนให้ทราบสถานการณ์และแนวทางการปฏิบัติตนให้เกิดความปลอดภัย รวมทั้งช่องทางการขอรับความช่วยเหลือในทุกช่องทางอย่างทั่วถึง // สำหรับจังหวัดที่มีพื้นที่ชายฝั่งทะเล หากมีแนวโน้มเกิดคลื่นลมแรง คลื่นซัดชายฝั่ง ให้มอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบในพื้นที่ แจ้งเตือนการเดินเรือด้วยความระมัดระวัง ปฏิบัติตามมาตรการเพื่อความปลอดภัย หากฝ่าฝืนให้ดำเนินการทางกฎหมายในทุกกรณี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า ด้านการเผชิญเหตุ หากเกิดหรือคาดว่าจะเกิดสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ให้จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด อำเภอ และศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินท้องถิ่น เป็นศูนย์ควบคุม สั่งการ และอำนวยการหลัก ในการระดมสรรรพกำลังประสานการปฏิบัติระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลือครอบคลุม ทั้ง “ด้านการดำรงชีพ และด้านที่อยู่อาศัย //สำหรับเส้นทางคมนาคมที่มีน้ำท่วมขัง หรือได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ให้จัดทำป้ายแจ้งเตือน พร้อมจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก แนะนำเส้นทางเลี่ยงที่ปลอดภัย เร่งซ่อมแซมเส้นทางที่ชำรุด/ถูกตัดขาด เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว และต้องดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 หากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์สาธารณภัย สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือทุกด้า นผ่านสายด่วนสาธารณภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเจ้าหน้าที่เข้าให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที