ไทย-ประเทศเพื่อนบ้าน เปิดปฏิบัติการกวาดล้าง “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ต่อเนื่อง

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานจาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งตะวันออกบริเวณขอบชายแดน จ.สระแก้ว ซึ่งรัฐบาลไทยได้ขอความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์  โดย พล.ต.ต.จุม เรียง รอง ผบ.ตร.กัมพูชา จเรตำรวจได้ประสานงานกับผู้บัญชาการตำรวจของกัมพูชา นำกำลังเข้าตรวจค้นอาคาร 3 ชั้น จำนวน 1 อาคาร ซึ่งอยู่ใน Compound พลาซ่า สายข่าวจากประเทศไทยระบุว่า มีคนไทยส่วนหนึ่งถูกหลอกไปทำงานสถานที่แห่งนี้มีคนจีนเช่าทำธุรกิจพนันออนไลน์และหลอกลวงออนไลน์ ในกรุงปอยเปต จ.บันเตียเมียนเจย กัมพูชา ตรงข้ามกับบริเวณด่านคลองลึกตลาดโรงเกลือ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว โดยที่ดินและอาคารดังกล่าวถูกระบุว่า เป็นของผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งของ จ.บันเตียเมียนเจย

  • เจ้าหน้าที่ได้นำชาวต่างชาติออกมารวม 215 คน ในจำนวนนี้มีคนไทย 109 คน ชาวไต้หวัน 5 คน ปากีสถาน 50 คน อินโดนีเซีย 3 คน อินเดีย 48 คน อยู่ระหว่างการสอบปากคำและบันทึกประวัติของฝั่งกัมพูชา
  • ปฏิบัติการครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลไทยขอความร่วมมือในการร่วมกันแก้ไขปัญหาของทั้งสองประเทศ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา จเรตำรวจไทยเข้าพบ รอง ผบ.ตร. กัมพูชา เมื่อ วัน 21 ก.พ. 68 ที่ผ่านมา ฝ่ายข่าวความมั่นคงระบุว่า นับว่าเป็นการนำคนไทยออกมาจำนวนมากจากตึกที่คาดว่าทำธุรกิจออนไลน์ครั้งใหญ่ที่สุดของทั้งสองประเทศและจะมีการระดมกวาดล้างต่อไปอย่างต่อเนื่อง
  • ผู้ช่วยทูตฝ่าย ตำรวจ และฝ่ายกงสุลของไทยจะเดินทางไปที่ชายแดน ที่บริเวณด่านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อติดตามความคืบหน้าและดำเนินการเอกสาร การบันทึกประวัติและคัดกรอง เพื่อสอบปากคำเบื้องต้นว่าบุคคลเหล่านี้เป็นเหยื่อหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการ

นายจิรายุ กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมในการรับคนไทยและขอให้ปฏิบัติในการตรวจสอบอย่างละเอียดในทุกมิติ รวมทั้งให้เตรียมการประสานงานกับสถานเอกอัครราชทูตต่าง ๆ ที่มีกลุ่มคนเหล่านี้ที่ถูกระบุเพื่อเตรียมความพร้อมในกระบวนการทางกฎหมายต่าง ๆ ต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของประเทศไทย

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้โพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ส่วนตัว “การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์: ความร่วมมือเพื่อความปลอดภัยของประชาชนไทยและโลก” ระบุว่า ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นอาชญากรรมข้ามชาติที่ซับซ้อนและส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประชาชนไทยและประชาคมโลก รัฐบาลตระหนักดีว่าการแก้ไขปัญหานี้ไม่ใช่เพียงแค่การจับกุมผู้กระทำผิด แต่ต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การตัดเส้นทางปฏิบัติการของกลุ่มอาชญากร การช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกหลอกลวง ไปจนถึงการสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก เพราะปัญหาใหญ่ระดับนี้ไม่สามารถทำเพียงประเทศใดประเทศหนึ่ง ที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกภายใต้ความร่วมมือกับจีนและเมียนมา ผ่านแผนปฏิบัติการ “ตัดไฟ ตัดเน็ต ตัดน้ำมัน” ใน 5 จุดสำคัญ เพื่อลดศักยภาพของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และสามารถสกัดกั้นขบวนการเหล่านี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่รัฐบาลไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ได้ดำเนินการประสานงานกับ รมว.กระทรวงป้องกันประเทศของ สปป.ลาว ในโอกาสที่มาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และได้มีความร่วมมือของทั้ง 2 ประเทศ ที่จะช่วยกันปราบปราม ยาเสพติด การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยได้เรียนให้ผู้นำทั้ง 2 ประเทศ รับทราบเพื่อทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน นอกจากนั้น เพื่อป้องกันการย้ายฐานของเครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้ ยังได้สั่งการให้ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เดินทางด่วนเพื่อร่วมประชุมวางแผนกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติประเทศกัมพูชา โดย พล.ต.อ.ธัชชัย ได้รายงานถึงข้อสรุปจากการประชุมทั้งหมด 3 ข้อ ได้แก่

1. ร่วมกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไป โดยมีเป้าหมายเข้าไปกวาดล้าง ตรวจค้น จับกุมในจุดต่างๆ ที่เป็นที่ตั้งของแก๊ง โดยทางตำรวจไทยขอนำตัวคนไทยกลับมาลงโทษตามกฎหมายที่ประเทศไทย

2. ร่วมกันช่วยเหลือคนไทยที่ตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ให้กลับคืนสู่ครอบครัวอย่างรวดเร็ว

3. ให้มีการประสานงานร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อความรวดเร็วในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไป

การประชุมวางแผนปฏิบัติการครั้งนี้เป็นความร่วมมือกันระหว่างไทยกับกัมพูชา เพื่อจัดการปัญหาคอลเซ็นเตอร์ให้เด็ดขาด การแก้ไขปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเกี่ยวข้องกับทั้งกฎหมาย อาชญากรรมข้ามชาติ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร มีความมุ่งมั่นที่จะปกป้องประชาชนคนไทยให้พ้นจากเครือข่ายมิจฉาชีพ ได้ลงมือทำจริงและผลลัพธ์เริ่มปรากฏชัดเจน ว่าการแก้ไขปัญหานี้เราเดินมาถูกทาง รัฐบาลจะเดินหน้าต่อไป เพื่อให้พี่น้องประชาชนปลอดภัยจากการถูกหลอกลวง และขอให้มั่นใจได้ว่ารัฐบาลจะไม่หยุดปฏิบัติการจนกว่าปัญหานี้จะหมดไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง