นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบหารือ ดาโช เชริง โตบเกย์ นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรภูฏาน ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ในโอกาสเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมประชุมผู้นำ BIMSTEC โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมต่อการเตรียมการของภูฏาน สำหรับการเสด็จพระราชดำเนินเยือนภูฏาน อย่างเป็นทางการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ระหว่างวันที่ 25 – 28 เมษายน 2568 ซึ่งการเสด็จเยือนครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-ภูฏาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ไทยและภูฏาน พร้อมประสานงานอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การเสด็จเยือนเป็นไปอย่างสมพระเกียรติ นายกรัฐมนตรีภูฏานได้เน้นย้ำว่า รัฐบาลและประชาชนภูฏาน พร้อมถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ รวมถึงจะมีการจัดงานเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ไทย-ภูฏาน ตลอดปีนี้
นายกรัฐมนตรีภูฏานยังแสดงความห่วงใยต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดยสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งภูฏาน ได้ทรงส่งความห่วงใยและกำลังใจมายังรัฐบาลและประชาชนไทย นายกรัฐมนตรีภูฏานชื่นชมการบริหารจัดการสถานการณ์ของรัฐบาลที่มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมถึงมาตรฐานการก่อสร้างของไทยที่สามารถทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนได้อย่างดี สะท้อนถึงความพร้อมของไทยในการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ
สำหรับด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ผู้นำทั้งสองประเทศยังเห็นพ้องถึงศักยภาพของความตกลงการค้าเสรีไทย-ภูฏาน ที่เพิ่งบรรลุการเจรจาในระยะเวลาเพียง 9 เดือน และจะลงนามหลังจากการหารือนี้
ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการค้าการลงทุน โดยไทยสนใจลงทุนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เมืองอัจฉริยะและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในภูฏาน
ด้านการพัฒนา นายกรัฐมนตรีภูฏานยังขอบคุณความร่วมมือและการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยในการส่งเสริมการนำนโยบาย “หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” (OTOP) ของไทย มาวางแนวทางปรับใช้ในโครงการ “One Gewog, One Product” (OGOP) โดยทั้งสองฝ่ายเชื่อมั่นว่านโยบายนี้จะช่วยพัฒนาศักยภาพของชุมชนและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของภูฏานให้เข้าถึงตลาดได้มากขึ้น
ด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีไทยและภูฏานเห็นพ้องสนับสนุนนโยบาย “Two Kingdoms, One Destination” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกันระหว่างไทยและภูฏาน โดยนายกรัฐมนตรียังได้เชิญชวนภูฏาน
เข้าร่วมงานส่งเสริมการท่องเที่ยว “Thailand Travel Mart Plus” ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นงานสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้พบปะและสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว
ด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นายกรัฐมนตรียืนยันถึงความพร้อมในการให้ทุนการศึกษาและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างไทยและภูฏาน โดยเฉพาะในสาขาเทคโนโลยีขั้นสูง และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในโลกยุคดิจิทัล นอกจากนี้ รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการฝึกอบรมและการพัฒนาทักษะแก่เยาวชนไทยในอุตสาหกรรมการบริการ อาหาร และสุขภาพ เพื่อให้คนไทยสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจมากขึ้น
ด้านความร่วมมือระดับภูมิภาคและพหุภาคี ภูฏาน กล่าวชื่นชมการเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอด BIMSTEC ครั้งที่ 6 ของไทย และภูฏาน พร้อมสนับสนุนไทยในเวทีระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ผู้นำทั้งสองเชื่อว่า
การประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือภายใน BIMSTEC และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนในภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีไทยและภูฏาน ได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) ไทย-ภูฏาน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศในระยะยาว
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย – ภูฏาน และมอบหมายให้ตนเองลงนามความตกลงดังกล่าวร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พาณิชย์ และการจ้างงานของภูฏาน ในวันที่ 3 เมษายน 2568 ณ ทำเนียบรัฐบาล
นายพิชัย เปิดเผยว่า FTA ไทย – ภูฏาน จะเป็น FTA ฉบับที่ 2 ที่สำเร็จผลและมีการลงนามนับตั้งแต่ตนเองเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และจะเป็น FTA ฉบับที่ 17 ของประเทศไทย ซึ่งการลงนาม FTA ดังกล่าวจะถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งเจรจาจัดทำ FTA กับประเทศคู่ค้าต่างๆ เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการส่งออกสินค้าของไทย ซึ่งผู้ประกอบการและผู้บริโภคของทั้งสองประเทศจะได้ประโยชน์ทางการค้าอย่างเต็มที่จากการยกเว้นภาษีภายใต้ FTA ฉบับนี้
นายพิชัย กล่าวอีกว่า ภูฏานให้ความสำคัญเรื่องการค้ากับไทยเป็นอย่างมาก โดย FTA ไทย – ภูฏาน ถือเป็น FTA ฉบับแรกของภูฏานกับประเทศนอกกลุ่มเอเชียใต้ โดยก่อนหน้านี้ภูฏานได้จัดทำ FTA กับกลุ่มประเทศเอเชียใต้ คือ ความตกลงเขตการค้าเสรีเอเชียใต้ (South Asian Free Trade Area: SAFTA) ที่ประกอบด้วยประเทศสมาชิก 7 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เนปาล ศรีลังกา ปากีสถาน และมัลดีฟส์
ในปี 2567 การค้าระหว่างไทยและภูฏาน มีมูลค่า 460.47 ล้านบาท โดยไทยส่งออกไปภูฏาน 457 ล้านบาท และนำเข้า จากภูฏาน 3.47 ล้านบาท สินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ ยานพาหนะและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีอาหารสำเร็จรูป เตาอบไมโครเวฟ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน เครื่องดื่ม ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และสินค้านำเข้าสำคัญของไทย อาทิ ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผักและผลไม้ เครื่องบิน เครื่องร่อนอุปกรณ์การบินและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ไม้ซุง ไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ และเครื่องดื่มประเภทน้ำแร่ น้ำอัดลม และสุรา
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับ นายนเรนทร โมที (H.E. Mr. Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย ในโอกาสการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับนายกรัฐมนตรีอินเดียและคณะ ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการและเข้าร่วมการประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 6 พร้อมทั้งชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินเดียที่มีความใกล้ชิดมายาวนาน โดยตลอดระยะเวลากว่า 7 ทศวรรษของความสัมพันธ์ทางการทูต ไทยและอินเดียมีความร่วมมือขยายครอบคลุมทุกสาขา ซึ่งนำไปสู่การยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกัน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณรัฐบาลอินเดียที่อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระอัครมหาสาวกมาประดิษฐานที่ไทยเป็นการชั่วคราว ซึ่งมีชาวไทยมาสักการะมากกว่า 4 ล้านคน สะท้อนถึงความสำคัญของพุทธศาสนาซึ่งเป็นหลักเชื่อมโยงประชาชนของทั้งสองประเทศ
นายกรัฐมนตรีอินเดีย กล่าวในนามรัฐบาลและประชาชนชาวอินเดีย ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในไทย และขอเป็นกำลังใจให้รัฐบาลไทยและประชาชนคนไทย พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีอินเดียขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นและชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินเดียที่มีความเข้มแข็งมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ในระดับประชาชน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังมีความร่วมมือระหว่างกันที่ใกล้ชิดในหลายมิติ โดยนายกรัฐมนตรีอินเดียเห็นว่า ไทยและอินเดียมีแนวนโยบายที่สอดคล้องกัน ซึ่งสามารถเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันได้อีกมาก พร้อมทั้งแสดงความยินดีต่อความสำเร็จของไทยในฐานะประธาน BIMSTEC ซึ่งภายใต้การเป็นประธานของไทย BIMSTEC มีข้อริเริ่มและโครงการใหม่ ๆ เกิดขึ้น โดยเชื่อมั่นว่า การดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์กรุงเทพฯ 2030 จะนำไปสู่ทิศทางและเกิดแรงผลักดันใหม่ให้กับ BIMSTEC โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีอินเดียยังได้เชิญนายกรัฐมนตรีเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือประเด็นความร่วมมือที่สำคัญร่วมกัน ดังนี้
การทหารและความมั่นคง นายกรัฐมนตรียินดีที่กลไกความร่วมมือด้านการทหารระหว่างไทยกับอินเดียมีพัฒนาการที่สำคัญ โดยไทยพร้อมต่อยอดความร่วมมือไปยังสาขาใหม่ๆ เพิ่มเติม อาทิ ความมั่นคงทางไซเบอร์ และอวกาศ พร้อมทั้งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยมีส่วนร่วมในกระบวนการวิจัย ผลิตอาวุธ และซ่อมบำรุงในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของอินเดีย ผ่านการจัดตั้ง Joint Working Group on Defense Industry โดยเร็ว เพื่อผลักดันความร่วมมือในด้านนี้อย่างเป็นรูปธรรม ด้านนายกรัฐมนตรีอินเดียต้องการเพิ่มพูนความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงระหว่างกันมากขึ้น โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และการลาดตระเวนในช่องแคบมะละกา ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่าการเข้าร่วมลาดตระเวนฯ จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากประเทศอื่น ๆ ได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งเดิมไทยเข้าร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์ และต่อมาในปี ค.ศ. 2009 ถึงได้เข้าร่วมการฝึกอย่างเต็มรูปแบบ
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องเพิ่มพูนความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการค้ามนุษย์ การลักลอบขนยาเสพติด และการหลอกลวงทางออนไลน์ โดยนายกรัฐมนตรีต้องการให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมนโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดของอินเดียที่ครอบคลุม และต้องการกระชับความร่วมมือกับอินเดียเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด ผ่านกลไกทวิภาคีและพหุภาคีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งฝ่ายอินเดียพร้อมร่วมมืออย่างเต็มที่
เศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า ไทยและอินเดียยังมีศักยภาพที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือด้านการค้าระหว่างกันได้อีกมาก โดยนายกรัฐมนตรีขอให้ฝ่ายอินเดียพิจารณาผ่อนปรนมาตรการการนำเข้าสินค้า เพื่อสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการค้าระหว่างกัน โดยสินค้าหลายประเภทของไทยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตสินค้า ซึ่งสนับสนุนนโยบาย Make in India ของอินเดีย พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังเสนอให้มีการยกระดับกลไกการหารือด้านการค้า โดยเฉพาะการยกระดับการประชุม Joint Trade Committee เป็นระดับรัฐมนตรี การพิจารณาปรับปรุงความตกลงการค้าเสรีไทย – อินเดีย และความตกลง ASEAN – India Trade in Goods ให้ครอบคลุมสินค้ามากขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าและส่งเสริมห่วงโซ่การผลิตระหว่างกัน รวมถึงสนับสนุนให้มีการจัด India – Thailand Joint Business Forum (ITJBF) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นเวทีให้ภาคเอกชนสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ
นายกรัฐมนตรียังได้เชิญชวนนักลงทุนอินเดียให้เข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษของไทย โดยเฉพาะในสาขาเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งอินเดียมีความเชี่ยวชาญ พร้อมขอให้ฝ่ายอินเดียให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนไทยที่เข้าไปลงทุนในอินเดียด้วย
ความเชื่อมโยง นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า อินเดียเป็นประเทศหุ้นส่วนสำคัญของการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค เอเชียใต้กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งทางบกและทางทะเล โดยเฉพาะโครงการถนนสามฝ่าย อินเดีย – เมียนมา – ไทย (India – Myanmar – Thailand Trilateral Highway Project) ซึ่งทั้งสองฝ่ายพยายามผลักดันอย่างเต็มที่ สำหรับการเชื่อมโยงทางทะเล ไทยมีโครงการแลนด์บริดจ์ที่จะสร้างความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมทางทะเล เชื่อมมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย โดยนายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้ภาคเอกชนอินเดียมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ ไทยยังมีแผนที่จะพัฒนาท่าเรือระนอง ให้เป็นท่าเรือขนส่งสินค้าหลักเชื่อมต่อท่าเรือทางฝั่งตะวันออกของอินเดีย และประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียใต้ ซึ่งจะสนับสนุนความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเลระหว่างประเทศสมาชิก BIMSTEC ให้บรรลุผลเป็นรูปธรรม
ด้านนายกรัฐมนตรีอินเดียเน้นย้ำว่า ภาคเอกชนอินเดียต้องการมีส่วนร่วมในโครงการแลนด์บริดจ์ของไทย และพร้อมร่วมกับฝ่ายไทยผลักดันการเชื่อมโยงระบบจ่ายเงินออนไลน์ระหว่าง UPI ของอินเดียกับพร้อมเพย์ของไทย ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยมองอินเดียเป็นต้นแบบของการสร้างระบบนิเวศสำหรับการฟูมฟักสตาร์ทอัพ และสนับสนุนการสร้างเครือข่ายระหว่างสตาร์ทอัพของทั้งสองประเทศ พร้อมหวังว่าจะมีความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น โดยเฉพาะในสาขาที่อินเดียมีความเชี่ยวชาญ เช่น ความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม AI และอวกาศ ซึ่งอินเดียมีความก้าวหน้าในด้านนี้และไทยต้องการให้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกันต่อไป
สังคมและวัฒนธรรม ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ไทยและอินเดียมีการแลกเปลี่ยนด้านสังคมและวัฒนธรรมระหว่างกันที่ใกล้ชิด โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ชุมชนชาวไทยเชื้อสายอินเดียมีส่วนสำคัญและเป็นรากฐานต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย นอกจากนี้ ในปัจจุบัน เยาวชนไทยให้ความสนใจเกี่ยวกับอินเดียมากขึ้น มีการตั้งศูนย์อินเดียศึกษาทั้งที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ และตามภูมิภาคต่างๆ รวมถึงมีนักเรียนไทยกำลังศึกษาในอินเดียประมาณ 600 คน ในสถาบันการศึกษาชั้นนำ ด้านนายกรัฐมนตรีอินเดียเห็นว่า ไทยและอินเดียมีมรดกวัฒนธรรมทางภาษาและพุทธศาสนาที่เชื่อมโยงประชาชนของทั้งสองประเทศ ซึ่งทั้งสองฝ่ายควรสืบสานและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รับประโยชน์จากมรดกเหล่านี้
การท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว โดยได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (Tourist Assistance Center: TAC) เพื่อดูแลและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวทั่วประเทศ พร้อมทั้งยินดีที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะจัดตั้งกลไก Consular Dialogue เพื่อการคุ้มครองดูแลประชาชนซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ไทยและอินเดียยังสามารถเพิ่มพูนความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวระหว่างกันได้มากขึ้น ผ่านการขยายเที่ยวบินไปยังเมืองอื่น ๆ ของไทยและอินเดียมากขึ้น รวมถึงการสนับสนุนกองถ่ายทำภาพยนตร์และโฆษณาจากอินเดียให้ใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำ และใช้บริการขั้นหลังการผลิต (Post Production) ที่มีคุณภาพในราคาย่อมเยาของไทย
ด้านนายกรัฐมนตรีอินเดียยินดีที่ไทยและอินเดียมีการแลกเปลี่ยนด้านการท่องเที่ยวที่ใกล้ชิด และทั้งสองฝ่ายมีมาตรการที่สนับสนุนการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยไทยมีการยกเว้นการตรวจลงตราให้แก่นักท่องเที่ยวอินเดีย ขณะเดียวกัน อินเดียได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยว (e-Tourist visa) ให้แก่นักท่องเที่ยวไทย เช่นกัน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีอินเดียพร้อมสนับสนุนข้อเสนอของไทยในการขยายเที่ยวบินไปยังเมืองอื่นของไทยและอินเดียมากขึ้น และยินดีที่ไทยพร้อมมีส่วนร่วมในการพัฒนาและขยายเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงพระพุทธศาสนา (Buddhist Circuit) ซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ
ความร่วมมือในกรอบอาเซียน ไทยพร้อมร่วมมือกับอินเดีย ผ่านกรอบอาเซียน – อินเดียในหลายสาขา ได้แก่ เทคโนโลยีดิจิทัล ความมั่นคงทางไซเบอร์ AI การศึกษา และเทคโนโลยีอวกาศ พร้อมเพิ่มพูนการใช้ประโยชน์จากความเชื่อมโยงเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันในภูมิภาค ผ่านการเจรจาการทบทวนความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน – อินเดียภายในปีนี้ นอกจากนี้ ไทยสนับสนุนข้อริเริ่มของอินเดียในการฉลองให้ปีนี้เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวอาเซียน – อินเดีย ซึ่งไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม “ASEAN – India Forum: Journey of Opportunities” รวมถึงการจัดฝึกอบรมภาษาฮินดีให้กับบุคลากรด้านการท่องเที่ยวของไทยและอาเซียน
ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อสถานการณ์ในเมียนมา ซึ่งไทยและอินเดียต่างมีพรมแดนติดกับเมียนมา โดยต่างต้องการเห็นเมียนมาที่มีความสงบสุข มั่นคง และเป็นปึกแผ่น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเสียใจต่อการ สูญเสียจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ไทยและอินเดียในฐานะประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมาได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมาโดยเร่งด่วนแล้ว ซึ่งในระยะต่อไปทั้งสองประเทศสามารถร่วมมือกันเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยอย่างยั่งยืนต่อไป โดยหนึ่งในความช่วยเหลือที่จะเกิดประโยชน์อย่างเห็นได้ชัดคือ โครงการถนนสามฝ่าย ไทย – เมียนมา – อินเดีย ที่จะช่วยฟื้นฟูและส่งเสริมเศรษฐกิจชายแดนระหว่างไทย อินเดีย และเมียนมา ด้านนายกรัฐมนตรีอินเดียสนับสนุน ฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน เพื่อยุติความขัดแย้งในเมียนมา
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีอินเดีย ยังได้เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามปฏิญญาและแลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจระหว่างประเทศไทยและอินเดีย จำนวน 6 ฉบับ ดังนี้
1. ปฏิญญาร่วมว่าด้วยการสถาปนาความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-อินเดีย
2. บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีสารสนเทศอินเดีย ว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีดิจิทัล
3. บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงท่าเรือ การขนส่ง และเส้นทางน้ำ ของอินเดีย และกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ว่าด้วยการพัฒนาโครงการศูนย์มรดกทางทะเลแห่งชาติ เมืองโลธาล รัฐคุชราต
4. บันทึกความเข้าใจระหว่างบริษัท National Small Industries Corporation Ltd. (NSIC) แห่งอินเดีย และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
5. บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการพัฒนาภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย และกระทรวงการต่างประเทศ ว่าด้วยความร่วมมือด้านหัตถกรรมและการพัฒนาชุมชนช่างฝีมือ
6. บันทึกความเข้าใจระหว่างบริษัท North Eastern Handicrafts & Handlooms Development Corporation Ltd (NEHHDC) ของอินเดีย และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์
จากนั้น นายกรัฐมนตรีไทยและอินเดีย ได้ร่วมพิธีมอบพระไตรปิฎกสากล ฉบับสัชฌายะ