นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่มีกลุ่มผู้ไม่หวังดี ปล่อยข่าวว่า โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ขาดทุน และภายใน 3 ปี จะยกเลิกนั้นเป็นข่าวเท็จ ขอยืนยันว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศ และปี 2569 นี้ได้จัดสรรงบประมาณจำนวน 265,295 ล้านบาท ให้แก่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งเป็นวงเงินที่สูงที่สุดเท่าที่เคยจัดสรรให้กับกองทุนบัตรทองฯ นับตั้งแต่มีการจัดตั้งโครงการฯ มา ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่ให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพและรักษาพยาบาล ให้กับประชาชนหากไปทำกำไรคงเป็นเรื่องที่ประชาชนรับไม่ได้
ทั้งนี้ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้เร่งผลักดันการใช้งบประมาณของกองทุนบัตรทองฯ ให้คุ้มค่า โปร่งใสและมีประสิทธิผล มุ่งยกระดับการบริการสาธารณสุขทุกมิติ เน้นการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ อาทิ การแพทย์ทางไกล (Telemedicine) รวมทั้งการเพิ่มรายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อนำยาที่มีคุณภาพสูง ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่มารักษาโรคให้กับประชาชน พร้อมการเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรคในโครงการ คนไทยห่างไกลจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เพื่อลดการเกิดโรคของประชาชนในระยะยาว
การจัดสรรงบประมาณในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการผลักดันนโยบายด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงหลัก ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียมตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ บวกกับการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยเพื่อดูแลสุขภาพคนไทย นอกจากนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับภาคเอกชนไทย และบริษัท Seiko Instruments จากประเทศญี่ปุ่น ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีด้านทันตกรรม พัฒนาด้ามกรอฟันนวัตกรรมใหม่ และจัดตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดการนำเข้าด้ามกรอฟันของไทยที่มีมูลค่าสูงถึงปีละราว 3,000 ล้านบาท แต่ยังส่งเสริมการจ้างงานภายในประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเทคโนโลยีทางการแพทย์ไทยในตลาดโลกอีกด้วย
นายจิรายุ ย้ำว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องบัตร 30 บาทรักษาทุกที่ มีแต่จะเพิ่มการดูแลในทุกมิติ ไม่มีลดเด็ดขาด รัฐบาลสนับสนุนนโยบายด้านสุขภาพ โดยจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2569 ได้จัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้น และปรับเพิ่มขึ้นทุกรายการ เพื่อให้ครอบคลุมสุขภาพของคนไทย และสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพได้อย่างทั่วถึง ตั้งแต่ระดับพื้นฐานจนถึงการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูงได้ รวมทั้งการสนับสนุนมาตรการต่างๆ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ใช้ได้เอง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของประชาชนอย่างแท้จริง
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ตั้งคำถามถึงการดำเนินงานในโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ โดยมี นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ตอบคำถามเพื่อยืนยันว่า 30 บาทรักษาทุกที่ สามารถฟื้นคืนชีวิต ฟื้นคืนสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นจนทั่วโลกให้การยอมรับกับนโยบายนี้ และรัฐบาลมีแต่จะเพิ่มสิ่งที่ดีที่สุดของโครงการในการปรับปรุงพัฒนาการรักษาทางการแพทย์ให้ทันกับโลกปัจจุบัน ผ่าน 6 คำถาม-คำตอบ ดังนี้
1. จิรายุ: “เห็นข่าวปล่อยกันเยอะว่า ระบบสาธารณสุขไทย หรือบัตรทองฯ เสี่ยงจะล่มสลายในอีก 3 ปี จริงหรือไม่?
นพ.จเด็จ: “ไม่จริง” มีการปล่อยข่าวแบบนี้มาบ่อย หลาย ๆ ยุคในอดีต โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าประชาชนชื่นชอบนโยบายนี้และเป็นนโยบายของรัฐบาลก็ยิ่งปล่อยข่าวเชิงลบเพื่อดิสเครดิตรัฐบาล ทั้งๆ ที่การพัฒนาระบบสาธารณสุขของไทย ได้รับการยอมรับระดับโลกและเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาล ปัจจุบันมีแต่การส่งเสริมสนับสนุนเพิ่มเติมทำให้ดีขึ้น ที่ผ่านมารัฐบาลจัดงบประมาณกองทุนบัตรทองฯ เพิ่มขึ้นทุกปี เฉลี่ยปีละ 10% ตามดัชนีประชากร การรักษาทุกโรคของประชาชนและอัตราเงินเฟ้อ ยิ่งในงบประมาณปี 2569 นี้ รัฐบาลที่นำโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้จัดสรรงบประมาณให้เพิ่มขึ้นอีก 15% เพื่อพัฒนารูปแบบการรักษาสมัยใหม่ ลดการแออัดตามโรงพยาบาล และเพิ่มบัญชียาให้สอดรับกับโรคภัยไข้เจ็บในปัจจุบันของโลกเสียด้วยซ้ำ
2. จิรายุ: เงินบำรุงคงเหลือของโรงพยาบาลลดลงเรื่อยๆ ถ้าไม่แก้ไขอีกไม่ถึง 3 ปี จะทำให้ระบบสาธารณสุขพังจริงหรือไม่?
นพ.จเด็จ: “ไม่เป็นความจริง” โดยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ปัจจุบันเงินบำรุงคงเหลือหลังหักหนี้สินของโรงพยาบาลอยู่ในระบบมีมากถึง 40,000 ล้านบาท ซึ่งก่อนช่วงโควิดมีเงินบำรุงเหลือเพียง 14,000 ล้านบาท บางปีต่ำลงระดับ 10,000 ล้านบาท วันนี้ดีขึ้นกว่าหลายปีที่ผ่านมามาก มีเงินบำรุงเพิ่มขึ้นและหลายโรงพยาบาลยังได้นำเงินบำรุงคงเหลือเหล่านี้ไปสร้างบ้านพักให้แพทย์ พยาบาล และทำสวัสดิการต่าง ๆ เพิ่มเติม ซึ่งเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลให้นโยบายว่าต้องการสนับสนุนและดูแลบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องทำงานหนักเพื่อประชาชน “ย้ำ” มีแต่เพิ่มคุณภาพ บัตรทองฯ ไม่มีลดคุณภาพเด็ดขาด เพื่อสุขภาพของคนไทย
3. จิรายุ: มีการปล่อยข่าวว่า ปี 2568 นี้ “สปสช.” จะจ่ายค่ารักษาผู้ป่วยในที่ 7,100 บาทต่อแต้ม* (ข้อมูลของโรค) ซึ่งหากเป็นราคานี้อาจจะทำให้คุณภาพคงที่ หรือไม่ดีขึ้นจริงหรือไม่?
นพ.จเด็จ: ให้คำตอบว่า “ไม่จริง” ตัวเลข 7,100 บาทนี้มาจากการคำนวณผู้ป่วยในที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นบัญชีที่ผ่านมา ที่มีองค์ประกอบอื่นๆ ในการพิจารณาทางการแพทย์ที่เป็นไปตามสถานการณ์
ในแต่ละปี โดยปีนี้ สปสช. ได้นำเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการการบริหารจัดการกองทุน เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 แล้ว กำหนดอัตราจ่ายผู้ป่วยใน ที่ 8,350 บาท ดังนั้น ไม่มีการปรับลดอัตราจ่ายผู้ป่วยในเหลือ 7,100 บาทอย่างแน่นอน (*สปสช. จะจ่ายค่ารักษาผู้ป่วยใน โดยคิดค่ารักษาเป็น แต้ม หรือค่าน้ำหนัก ความว่า รักษาโรคยาก แต้มจะเยอะ โรงพยาบาลจะนำแต้มมาแลกเป็นเงิน ค่ารักษาที่ สปสช. ต้องจ่ายจึงสูงตาม)
4. จิรายุ: คำถามที่ว่า สปสช. เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ประชาชนทุกปี แต่งบประมาณที่เพิ่มขึ้นไม่เพียงพอจริงหรือไม่?
นพ.จเด็จ: ยืนยันว่า “ไม่จริง” บอร์ด สปสช. มีมติเพิ่มเงินให้ทุกครั้งและมีการแยกหมวดชัดเจน ที่ผ่านมามีแต่ต้องเพิ่มขึ้นทุกปีตามดัชนี และเพื่อหลักประกันสุขภาพของประชาชนคนไทยที่ดีถ้วนหน้า “สปสช.” อำนวยความสะดวกให้คนไข้รับยาที่ร้านยา มีบริการส่งยาถึงบ้าน ประชาชนชื่นชมมาก เพราะสะดวกไม่ต้องไปแออัดในโรงพยาบาล”
5. จิรายุ: จากกรณีที่มีการปล่อยข่าวลือว่า “สปสช.” จ่ายค่ารักษาต่ำกว่าต้นทุนจริงและทำให้โรงพยาบาลขาดทุนจริงหรือไม่?
นพ.จเด็จ: อธิบายว่า มีโรงพยาบาลที่มีเงินบำรุงติดลบจริงส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชายแดนหรือทุรกันดาร ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขไม่เคยปล่อยปละละเลยและใช้วิธีการจัดการแบบโรงพยาบาล “พี่” ดูแลโรงพยาบาล “น้อง” ให้ความช่วยเหลือกัน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้ผู้ตรวจการกระทรวง ดูแลในการพิจารณาสนับสนุนเงินทุนระหว่างกัน อีกทั้งกระทรวงสาธารณสุขยังได้เข้าแก้ไขและชดเชยงบประมาณอยู่ตลอดเวลา ส่วนต้นทุนโรงพยาบาลนั้น ปัจจุบัน สปสช. กำหนดอัตราจ่ายผู้ป่วยใน ไว้ที่ 8,350 บาทต่อแต้ม (ข้อมูลของโรค) ซึ่งเป็นไปตามประกาศหลักเกณฑ์การจ่ายเงิน ซึ่ง สปสช. ได้เสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกลางศึกษาต้นทุนโรงพยาบาลเพื่อให้ได้อัตราจ่ายที่เหมาะสม
6. จิรายุ: โครงการอำนวยความสะดวก เช่น คนไข้ไปรับยาที่ร้านยา มีการส่งยาถึงบ้าน ประชาชนชื่นชมมาก เพราะสะดวก ไม่ต้องไปแออัดในโรงพยาบาล ทำไมยังมีหมอบางคนกลับไม่เห็นด้วย กล่าวหาว่าโรงพยาบาลเงินไม่พอ แต่กลับเอาเงินส่วนหนึ่งไปให้ร้านยาแทน?
นพ.จเด็จ: ให้คำตอบว่า บางครั้งประชาชน เจ็บไข้ได้ป่วยเล็กน้อย บางโรคไม่จำเป็นต้องไปเข้าคิวแออัดที่โรงพยาบาล ถ้าเจ็บป่วยเล็กน้อย 32 อาการ ก็สามารถปรึกษาเภสัชกรและรับยาตามอาการได้ที่ร้านยา
30 บาทรักษาทุกที่ หรือบางโรคแพทย์สามารถรักษาแบบออนไลน์หรือที่เรียกว่าการแพทย์ทางไกลได้ ซึ่งจะครอบคลุม 42 กลุ่มโรค สามารถหาหมอออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันที่เข้าร่วมกับ สปสช. และรอรับยาที่จะจัดส่งถึงบ้านได้เลย โรงพยาบาลจะได้รักษาผู้ป่วยที่หนักกว่า ส่วนการบริการส่งยาถึงบ้านเพื่อช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล ที่เราจะเห็นคิวผู้ป่วยหลังจากหาหมอเสร็จต้องมารอรับยาที่หน้าห้องยาอีก และการเดินทางที่เป็นต้นทุนสำคัญของประชาชน ซึ่งเรื่องนี้ประชาชนชื่นชมมากที่
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่ผ่านสภาฯ ไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (31 พ.ค. 68) จะเห็นได้ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพและการรักษาพยาบาลของประชาชน ซึ่งยืนยันว่า ไม่ว่าจะอีก 3 ปีข้างหน้า จะ 5 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้า โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ จะไม่มีทางยกเลิกอย่างเด็ดขาด เนื่องจากเป็นโครงการสำคัญที่ดูแลสุขภาพความเป็นอยู่ของประชาชน อีกทั้ง ยังเป็นโครงการที่รัฐต้องดูแลประชาชนและไม่ใช่โครงการที่รัฐต้องแสวงหากำไร ซึ่งรัฐบาลได้ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขในทุกมิติ เพื่อพิจารณาในการทำโครงการให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด ซึ่งปีต่อๆ ไปหากมีความจำเป็นจะต้องเพิ่มงบประมาณก็ต้องเพิ่ม เพื่อให้คุณภาพการดำเนินงานของบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ ต้องเป็นโครงการสำคัญเพื่อสุขภาพของคนไทยตามนโยบายของรัฐบาล “โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ จะไม่มีทางยกเลิกอย่างเด็ดขาด”