การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
1. แนวทางการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษีและมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) และกระทรวงการคลัง (กค.) ร่วมกันพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการดังกล่าว ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไป
2. มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินการและติดตามประเมินผลมาตรการดังกล่าว เพื่อให้บรรลุผลสัมฤทธิ์โดยเร็วต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. สืบเนื่องจากการที่ประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน* ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 (COP26) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ซึ่งมีพันธกิจในการสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานของประเทศ จึงได้จัดทำแนวทางการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษีและได้มีการประชุมหารือแนวทางการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษีในหลักการเบื้องต้นร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมสรรพากรสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟผ.) ด้วยแล้ว
(* ความเป็นกลางทางคาร์บอน คือปริมาณการปล่อยคาร์บอน = ปริมาณคาร์บอนที่ถูกกำจัด)
2. แนวทางการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษีที่เสนอในครั้งนี้ ประกอบด้วย 2 มาตรการ ได้แก่ 1) การส่งเสริมการลงทุนและการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานด้วยมาตรการทางภาษี และ 2) การส่งเสริมการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ในบ้านอยู่อาศัยด้วยมาตรการทางภาษี ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1) มาตรการส่งเสริมการลงทุนและการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานด้วยมาตรการทางภาษี
ประเด็น | รายละเอียด |
วัตถุประสงค์ | ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและปรับเปลี่ยนเครื่องจักร อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย และผู้บริโภคสนใจลงทุนในอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน และผลักดันให้มีการเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น |
กลุ่มเป้าหมาย | 2 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ – ประชาชนผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (5) (6) (7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 และที่แก้ไขเพิ่มเติม – บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล |
สิทธิประโยชน์ทางภาษี | หักค่าใช้จ่าย/รายจ่ายในการซื้อหรือการลงทุนในทรัพย์สินประเภทวัสดุอุปกรณ์หรือเครื่องจักรที่ช่วยประหยัดพลังงานได้ จำนวน 1.5 เท่าของรายจ่ายจริง |
เงื่อนไขการดำเนินการ | – ใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในทรัพย์สินประเภทวัสดุ เครื่องจักร และอุปกรณ์ ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ ต้องได้รับการรับรองฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูงหรือฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพพลังงานระดับ 5 ดาว จากกระทรวงพลังงาน – ทรัพย์สินประเภทวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักร ต้องมีลักษณะ เช่น (1) อยู่ในราชอาณาจักรและไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน (2) ได้มาและพร้อมใช้งานตามวัตถุประสงค์ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2571 (3) ไม่เป็นทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้น (4) ไม่เป็นทรัพย์สินที่นำไปใช้ในกิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนหรือกฎหมายว่าด้วยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก – ต้องมีหลักฐานใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มเต็มรูปแบบผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ของกรมสรรพากร |
ระยะเวลามาตรการ | ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2571 |
ประมาณการผลประโยชน์ ที่คาดว่าจะได้รับตลอดการส่งเสริม | – กระตุ้นเศรษฐกิจรวม 254,063.22 ล้านบาท – ลดการใช้ไฟฟ้าของประเทศรวม 30,268.16 ล้านหน่วยต่อปี – ลดการนำเข้า Spot LNG (การซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว) เพื่อผลิตไฟฟ้า 110,188.33 ล้านบาท – ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 15.34 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี |
2) มาตรการส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านอยู่อาศัยด้วยมาตรการทางภาษี
ประเด็น | รายละเอียด |
วัตถุประสงค์ | กระตุ้นให้ประชาชนลงทุนติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อเพิ่มการใช้พลังงานทดแทนและลดภาระค่าไฟฟ้าในครัวเรือน |
เป้าหมายของมาตรการ | ส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในภาคครัวเรือนทั่วประเทศ และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน |
กลุ่มเป้าหมาย | ประชาชนกลุ่มบ้านอยู่อาศัยที่ติดตั้ง Solar Rooftop |
สิทธิประโยชน์ทางภาษี | สามารถนำเงินลงทุนในการติดตั้งระบบ Solar Rooftop มาหักลดหย่อนภาษี เงินได้บุคคลธรรมดา ในวงเงินที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 200,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) |
เงื่อนไขการดำเนินการ | – เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1 (เฉพาะบ้านอยู่อาศัย) – เป็นผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 40 (1) – (8) แห่งประมวลรัษฎากร ไม่รวมห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล – ชื่อผู้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีต้องตรงกับชื่อเจ้าของมิเตอร์ไฟฟ้าของบ้านอยู่อาศัย – สิทธิการลดหย่อนภาษี 1 บุคคล ต่อ 1 มิเตอร์ ต่อ 1 ระบบ – ระบบ Solar Rooftop ที่ติดตั้งต้องเป็นระบบ On-grid (ระบบโซลาร์เซลล์ที่เชื่อมต่อกับการไฟฟ้า ซึ่งระบบนี้จะผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์และใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้ทันที) และมีกำลังการผลิตติดตั้งไม่เกิน 10 กิโลวัตต์สูงสุด (kWp) ต่อหลัง – ต้องเป็นระบบที่มีการจัดซื้อ ติดตั้ง และยื่นขออนุญาตเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย – มีหลักฐานใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ (Tax Invoice) ของการจัดซื้อและติดตั้งระบบ Solar Rooftop และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เอกสารขออนุญาตเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้า |
ระยะเวลามาตรการ | นับถัดจากวันที่ราชกิจจานุเบกษาประกาศให้มีผลบังคับใช้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570 |
คาดการณ์ผู้ใช้สิทธิ | 90,000 ราย |
ประมาณการผลประโยชน์ ที่คาดว่าจะได้รับตลอดการส่งเสริม | – กระตุ้นเศรษฐกิจรวม 20,250 ล้านบาท – ลดการใช้ไฟฟ้าของประเทศรวม 585 ล้านหน่วยต่อปี – ลดการนำเข้า Spot LNG เพื่อผลิตไฟฟ้า 2,100 ล้านบาท – ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 2.64 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ต่อปี |
ทั้งนี้ การดำเนินการทั้ง 2 มาตรการข้างต้นจะส่งผลให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐรวมทั้งสิ้นประมาณ 27,956.35 ล้านบาท อย่างไรก็ดี กระทรวงพลังงานคาดว่า การส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและอุปกรณ์ในภาคอุตสาหกรรมจะส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจประมาณ 254,063.22 ล้านบาท ช่วยลดการใช้ไฟฟ้าของประเทศประมาณ 30,268.16 ล้านหน่วยต่อปี ลดการนำเข้า Spot LNG เพื่อผลิตไฟฟ้า 110,188.33 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 15.34 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ในส่วนของการสนับสนุนการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ในภาคครัวเรือนจะส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจประมาณ 20,250 ล้านบาท ช่วยลดการใช้ไฟฟ้าของประเทศ ประมาณ 584 ล้านหน่วยต่อปี ลดการนำเข้า Spot LNG เพื่อผลิตไฟฟ้า 2,100 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 2.65 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด ลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนการผลิต และส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างยั่งยืน ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศในระยะยาว
3. กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน พิจารณาแล้วไม่มีข้อขัดข้องต่อแนวทางการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษี
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลพบว่า การใช้กลไกสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะสามารถช่วยกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าและยั่งยืน อีกทั้งจะสามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน ลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าของประเทศ ลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNP) เพื่อผลิตไฟฟ้า ลดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าของประชาชนในระยะยาว และสนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของไทยด้วย ทั้งนี้มาตรการสิทธิประโยชน์ด้านภาษีนี้จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประชาชน และของประเทศในภาพรวม อีกทั้งยังสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และสนับสนุนแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้เร็วขึ้น
สำหรับการพัฒนาเครื่อง Inverter ของคนไทย ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการติดตั้งระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงพลังงานเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์โซลาร์ราคาถูกสำหรับคนไทยนั้น ปัจจุบันเครื่องต้นแบบได้ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) แล้ว และอยู่ระหว่างเตรียมการต่างๆ สู่ขั้นตอนการผลิตเพื่อนำออกจำหน่ายแก่ประชาชนในราคาถูกเร็วๆ นี้
นายพีระพันธุ์ ยังเปิดเผยว่า ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ กระทรวงพลังงานจะนำร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่ผ่านการทำประชาพิจารณ์แล้ว เข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป