ดร.นลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย เดินหน้าสานพลังความร่วมมือกับ Dubai Chambers เพื่อขยายโอกาสทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีเป้าหมายขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ศูนย์กลางดิจิทัล (Digital Hub) และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Destination) ของโลก
การหารือดังกล่าวจัดขึ้นระหว่าง ดร.นลินี กับ H.E. Mohammed Ali Rashed Lootah ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Dubai Chambers รวมถึงคณะผู้แทนจากหน่วยงานไทย ได้แก่ นายสรยุทธ ชาสมบัติ เอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี, นางสาวนิภา นิรันดร์นุต กงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ, นายปิติชัย รัตนนาคะ ผู้อำนวยการ สคต. ดูไบ, กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
ผลักดันการขยายความร่วมมือด้านการค้า การลงทุนให้เติบโตอย่างเป็นรูปธรรม โดยต่อยอดจากโครงการ 2025 New Horizons Roadshow to Thailand ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ณ กรุงเทพมหานคร โดยทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันเร่งส่งเสริมสาขาที่มีศักยภาพสูง ได้แก่
1. ด้านการค้า: สินค้าตกแต่งและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับโรงแรม, อาหารและเกษตรแปรรูป, ผลิตภัณฑ์ฮาลาล (เนื้อสัตว์แปรรูป ไก่แช่แข็ง), อาหารสด
2. ด้านการลงทุน: อสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจสุขภาพ และ Data Center
ในด้าน Tech Startup ทาง Dubai Chambers ได้เชิญชวนผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงาน GITEX GLOBAL X Expand North Star ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนตุลาคม ณ ดูไบ โดยเสนอให้จัดตั้ง Thailand Pavilion เพื่อเปิดโอกาสให้สตาร์ตอัปไทยได้ขยายเครือข่าย พบนักลงทุนระดับโลก และขยายตลาดอย่างเป็นระบบ โดยในปีที่ผ่านมา งานนี้มีผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า 70,000 ราย และนักลงทุนมากกว่า 1,000 ราย
ขณะเดียวกัน Dubai Chambers ยังเล็งเห็นศักยภาพด้าน ธุรกิจสุขภาพของไทย ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้มีรายได้สูงทั่วโลก โดยเสนอให้ไทยประชาสัมพันธ์จุดแข็งด้าน Wellness อย่างกว้างขวาง พร้อมเชิญชวนให้ภาคธุรกิจไทยขยายการลงทุนในยูเออี โดยเฉพาะด้านสุขภาพ สปา โรงแรม และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งไทยมีความเชี่ยวชาญเป็นที่ยอมรับในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ Dubai Chambers พร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยช่วยประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนชั้นนำ และคัดเลือกพื้นที่เหมาะสมสำหรับการลงทุน
นอกจากนี้ Dubai Chambers ยังแสดงความพร้อมในการให้ไทยใช้ดูไบเป็น “สะพานเศรษฐกิจ” เพื่อเชื่อมโยงการส่งออกสินค้าไทยสู่ตะวันออกกลางและแอฟริกา โดยอาศัยจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายกระจายสินค้าที่ครอบคลุม ซึ่งปัจจุบันดูไบถือเป็นหนึ่งใน 3 อันดับแรกของโลกด้านการส่งออกซ้ำ (re-exporter) โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอาหาร พร้อมแนะนำให้ไทยใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีของยูเออีที่มีอยู่ถึง 27 ฉบับ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย
ความร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับดูไบอย่างยั่งยืนในระยะยาว และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยในการส่งเสริม การลงทุนคุณภาพ (Quality Investment) โดยเฉพาะในสาขาเศรษฐกิจอนาคต เช่น ดิจิทัล โลจิสติกส์ และ Tech Startup รวมถึงนโยบาย Dubai Economic Agenda 2033 (D33) ที่เร่งผลักดันการลงทุนผ่านโครงการขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐานและเมืองอัจฉริยะ