“รองนายกฯ ประเสริฐ” หารือเมียนมา แก้ปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชน

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พบหารือกับ H.E. Mr. Khin Maung Yi (นายขิ่น ม่อง ยี) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเมียนมา (Ministry of Natural Resources and Environmental Conservation: MONREC) พร้อมด้วยคณะผู้แทนจากหน่วยงานไทย ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานเมียนมา ได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเมียนมา กระทรวงสาธารณสุขเมียนมา และรัฐบาลรัฐฉาน (Shan State Government) ณ โรงแรม Jasmine Nay Pyi Taw กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

นายประเสริฐ กล่าวขอบคุณเมียนมา สำหรับการต้อนรับและโอกาสในการหารือครั้งนี้ โดยย้ำว่าประเด็นคุณภาพน้ำเป็นเรื่องสำคัญที่ไทยให้ความสนใจมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาไทยได้ดำเนินการทั้งภายในประเทศด้วยมาตรการด้านสาธารณสุขและการดักจับตะกอน รวมทั้งในระดับระหว่างประเทศ ที่ได้หารือกับฝ่ายเมียนมาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา และผลักดันความร่วมมือผ่านคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) การหารือครั้งนี้ จึงเป็นการต่อยอดความร่วมมือบนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชนทั้งสองประเทศและตลอดริมแม่น้ำโขง พร้อมย้ำว่าการรักษาคุณภาพน้ำเป็นความท้าทายร่วมกันที่ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนบนผลประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งไทยและเมียนมาเคยร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมมาแล้วหลายโครงการ อาทิ การขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก เพื่อลดผลกระทบจากอุทกภัย

ด้านนายขิ่น ม่อง ยี กล่าวว่า น้ำเป็นทรัพยากรสำคัญต่อการดำรงชีวิต สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม เมียนมาให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์และการจัดการคุณภาพน้ำอย่างจริงจัง ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลเมียนมาได้จัดตั้งคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม พร้อมร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อติดตามคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลักและทะเลสาบสำคัญทั่วประเทศ โดยเมียนมายืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกับไทยในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางน้ำอย่างยั่งยืน โดยดำเนินการบนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ ความโปร่งใสและความร่วมมือ เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ

โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงแนวทางการจัดตั้งคณะทำงานวิชาการร่วม (Joint Technical Working Group) เพื่อยกระดับความร่วมมือ และเห็นพ้องถึงความจำเป็นในการประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันและสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รวมทั้งเปิดโอกาสในการพัฒนาศักยภาพ สร้างความตระหนักรู้ และถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดการกิจการเหมืองแร่ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของสารพิษปนเปื้อนดังกล่าว

นายประเสริฐ กล่าวย้ำว่า ไทยให้ความสำคัญต่อการจัดการคุณภาพน้ำอย่างครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การหารือครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญและแบบอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชน แต่ยังสะท้อนถึงมิตรภาพ ความไว้วางใจและความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าทำงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับผลการหารือที่สำคัญ ประกอบด้วย

1. ทั้งสองฝ่ายในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด ได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการส่งเสริมความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการจัดการคุณภาพน้ำ

2. ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการหารือประสานงานกันบ่อยครั้งยิ่งขึ้น มีการหารือทำงานร่วมกัน ซึ่งรวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจร่วมกันและเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

3. ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะทำงานด้านวิชาการร่วม (Joint Technical Working Group) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังหารือถึงโอกาสในการร่วมมือกันในด้านต่างๆ เช่น การพัฒนาศักยภาพและการสร้างความตระหนักรู้ผ่านคณะทำงานร่วมกันดังกล่าวและการสนับสนุนเทคโนโลยีการจัดการกับการทำกิจการเหมืองแร่ เป็นต้น

ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพน้ำที่จะเดินหน้าแก้ไขร่วมกันนั้น ส่วนสำคัญจะเป็นการตอบโจทย์ประชาชนเกี่ยวกับกระแสข่าวก่อนหน้านี้เรื่องสารปนเปื้อนในแม่น้ำสายต่างๆ อาทิ แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชน ซึ่งรัฐบาลมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหานี้ทั้งในระดับพื้นที่และในระดับความร่วมมือระหว่างประเทศ

ขณะที่ นางสาวธีรรัตน์ กล่าวว่า ประเด็นคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายต่างๆ อาทิ แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ได้ก่อให้เกิดความกังวลอย่างมากต่อประชาชนไทยที่อาศัยอยู่ตามลุ่มน้ำ เนื่องจากส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน รัฐบาลไทยโดยกระทรวงมหาดไทย ได้พยายามอย่างต่อเนื่องในการบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ด้วยการให้ความช่วยเหลือที่จำเป็น พร้อมทั้งเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้แก่ประชาชน และเนื่องจากแม่น้ำดังกล่าวเป็นลำน้ำข้ามพรมแดน ความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จึงมีความสำคัญยิ่งต่อการแก้ไขปัญหาอย่างรอบด้าน หากฝ่ายเมียนมาสามารถแบ่งปันข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายไทยได้ จะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการดำเนินงานร่วมกัน ทั้งในการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน และในการจัดการสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที โดยไทยมีความประสงค์ที่จะเห็นการประสานงานที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ เพื่อให้มั่นใจได้ว่ามีการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างทันท่วงที และสามารถกำหนดแนวทางการตอบสนองร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ผ่านการดำเนินการในคณะทำงานด้านวิชาการร่วมกัน (Joint Technical Working Group) ต่อไป

สำหรับเรื่องการแก้ปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกแม่น้ำสายนั้น รัฐบาลได้มีการแก้ปัญหามาอย่างต่อเนื่อง โดย นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงกรณีการแสดงความเห็นในสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ว่า  การเตรียมการเจรจาและหารือกับรัฐบาลเมียนมาที่ผ่านมา กรมเอเชียตะวันออก กรมกิจการชายแดนทหาร และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้ประสานความร่วมมือทั้งการทูต การทหาร และผ่านกลไกของคณะกรรมการลุ่มน้ำโขงเหนือ เพื่อนำไปสู่การขอให้หยุดการทำเหมืองชั่วคราว เพื่อปรับปรุงวิธีการทำเหมือง และดำเนินการไม่ให้มีการระบายน้ำที่มีสารปนเปื้อนลงแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย และการจัดการกับกากแร่ให้ถูกต้อง

การเจรจาทางการทูต กระทรวงการต่างประเทศ ได้ประสานสถานทูตไทยที่เมียนมาดำเนินการประสานกับรัฐบาลเมียนมาในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนการเจรจาทางทหาร กรมกิจการชายแดนทหาร ได้ใช้กลไกระดับคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ไทย-เมียนมา เพื่อหาแนวทางลดผลกระทบในระยะเร่งด่วน หรือหยุดการทำเหมืองชั่วคราวเพื่อปรับปรุงวิธีการทำเหมือง ซึ่งได้มีการประชุมและนำเสนอประเด็นนี้เมื่อวันที่ 2 – 4 มิถุนายน 2568 นอกจากนี้ ได้มีการเข้าพบกับทูตทหารของเมียนมาเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงและเสนอปัญหา เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 พร้อมทั้งได้นำปัญหาเรื่องนี้ไปหารือในการประชุมหมอกควันข้ามแดนที่เมืองเชียงตุงเมื่อวันที่ 17 – 20 มิถุนายน 2568 และได้เตรียมการบรรจุเข้าสู่วาระการเจรจาในระดับสูง (High Level Committee : HLC) ต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง