ป.ป.ส. ร่วมศุลกากรและไปรษณีย์ไทย แถลงจับกุมเครือข่ายยาเสพติดชาวเวียดนาม

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) นำโดยพลตำรวจโท ภานุวัฒน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วยนายปฤณ เมฆานันท์ ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. รวมถึงผู้แทนกรมศุลกากร และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ร่วมกันแถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดชาวเวียดนาม พร้อมด้วยของกลาง คีตามีน 5.2 กิโลกรัม  เอ็กซ์ตาซี (ยาอี) 514 เม็ด  ผงยาอี พร้อมอุปกรณ์ผลิตยาเสพติด เช่น เครื่องตอกอัดเม็ดอัตโนมัติแบบ single punch  หัวตอกยาอี โลโก้ต่างๆ และอุปกรณ์อื่นๆ อีกหลายรายการ

เลขาธิการ ป.ป.ส. เปิดเผยว่า เมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ได้นำคณะผู้แทนไทยร่วมกันประชุมทวิภาคีไทย-เวียดนาม ว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ครั้งที่ 17 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ซึ่งได้มีการหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการสืบสวนและปราบปรามเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติ พร้อมทั้งมีการเปิดเผยข้อมูลเรื่องของการเฝ้าระวังสถานการณ์หลังพบว่า ยาเสพติดชาวเวียดนามที่ผลิตเอ็กซ์ตาอี (ยาอี) ที่ปัจจุบันถูกกวาดล้างและจับกุมอย่างหนัก มีแนวโน้มว่าอาจจะมีการเข้ามาเคลื่อนไหวในประเทศไทย ทั้งการผลิตและจำหน่ายยาเสพติด จึงได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด ดำเนินการสืบสวนพฤติการณ์เครือข่ายค้ายาเสพติดชาวเวียดนามอย่างใกล้ชิด รวมทั้งยังให้ความสำคัญในการสกัดกั้นลักลอบขนส่งยาเสพติดผ่านพัสดุภัณฑ์ระหว่างประเทศคู่ขนานไปด้วย 

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568  สำนักปราบปรามยาเสพติด ร่วมกับกรมศุลกากรและหน่วยงานภาคีเครือข่ายร่วมกันตรวจยึดคีตามีน 5,200 กรัม ที่บรรจุอยู่ในพัสดุระหว่างประเทศและซุกซ่อนอำพรางปะปนกับถุงขนมโดยมีต้นทางมาจากประเทศเนเธอร์แลนด์ เจ้าหน้าที่จึงขออนุมัติและครอบครอง ภายใต้การควบคุม เพื่อขยายผลไปยังผู้รับพัสดุ จากนั้นวันที่ 18 สิงหาคม 2568 ได้มีการเฝ้าสังเกตการบริเวณโดยรอบคอนโดมิเนียมที่ถูกระบุในที่จัดส่งของพัสดุที่บรรจุยาเสพติด พบเป็นชาวเวียดนามสองคน เป็นผู้ติดต่อขอรับพัสดุที่ซุกซ่อนคีตามีนดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเพื่อตรวจค้นและได้มีการนำไปขยายผลตรวจค้นบ้านเช่าในย่านลาดพร้าว จนพบชาวเวียดนามอีกสองคน โดยสถานที่ดังกล่าวพบเอ็กซ์ตาซี (ยาอี) จำนวน 514 เม็ด รวมถึงผงยาอีและเครื่องผลิตยาเสพติด 

จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การว่า เตรียมที่จะนำคีตามีนมาผสมกับ MDMA ให้เป็นผงยาอีและทำการอัดเม็ด จากนั้นจะนำไปจำหน่ายให้เครือข่ายในสถานบันเทิง ซึ่งเชื่อว่าบางส่วนจะถูกลักลอบส่งกลับไป จำหน่ายที่เวียดนามด้วย 

ด้านนายปฤณ เมฆานันท์ ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด บอกด้วยว่า ปัจจุบันพบว่าปัญหายาเสพติดประเภทกลุ่มคีตามีนและยาอีในไทยยังอยู่ในเฉพาะกลุ่มและยังไม่แพร่หลายมากนัก ซึ่งคนที่นิยมเสพยาดังกล่าวส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวสถานบันเทิง ซึ่งยังสามารถควบคุมได้ ส่วนของการสืบสวนสอบสวนของการนำเข้ายาเสพติดเหล่านี้มาจากทางประเทศต้นทางคือ เนเธอร์แลนด์ เพราะดั้งเดิมประเทศดังกล่าวมีกลุ่มนักยาเสพติดคิดค้นและผลิตยา ประเภทคีตามีนและยาอี ซึ่งเชื่อว่าการนำเข้ามานี้ต้องการใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านก่อนส่งออกยังประเทศที่สามและเชื่อว่าชาวเวียดนามกลุ่มนี้ไม่ได้มีคอนแทคซื้อยาประเภทนี้จากประเทศเพื่อนบ้าน จึงทำให้ต้องสั่งยาเสพติดมาจากทั้งฝั่งยุโรป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง