นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดว่า รัฐบาลติดตามอย่างใกล้ชิดและลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยกระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายรัฐมนตรีช่วยทั้ง 3 คนลงพื้นที่ดูแลสถานการณ์ รวมถึงรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้ดูกลุ่มจังหวัดก็ลงพื้นที่ให้ช่วยเหลือประชาชนเช่นกัน โดยรัฐบาลเตรียมงบเยียวยาความเสียหายและจะเร่งดำเนินการให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่เยี่ยมเยียนผู้ประสบอุทกภัย จ.สุโขทัย หลังคันกั้นแม่น้ำยมทรุดตัวเมื่อวันที่ 3 ต.ค. 68 ส่งผลให้น้ำไหลเข้าท่วมบ้านเรือนกว่า 500 หลังคาเรือน จุดแรกพื้นที่หมู่ 2 และหมู่ 6 ต.ท่าทอง อ.สวรรคโลก และจุดที่ 2 ชุมชนวัดเกาะ ต.วัดเกาะ ต.บ้านนา อ.ศรีสำโรง ปัจจุบันสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย นายสันติ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เกิดซ้ำทุกปี โดยเฉพาะช่วงฤดูน้ำหลาก จึงจำเป็นต้องแก้ไขเชิงโครงสร้างโดยประสานกรมโยธาธิการและผังเมืองหาแนวทางยั่งยืน ป้องกันการกัดเซาะและน้ำไหลแรง พร้อมเร่งจัดสรรงบกลางช่วยเหลือครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบโดยด่วน ทั้งยังฝากกำลังใจให้ประชาชนเข้มแข็ง ยืนยันรัฐบาลจะดูแลทั้งระยะสั้นและระยะยาว ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ต่อมา ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัย อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก เยี่ยมศูนย์พักพิงชั่วคราว คุ้มแม่ย่า 12 ครัวเรือน มอบสิ่งของอุปโภคบริโภคและถุงยังชีพ พร้อมกำชับหน่วยงานเร่งสำรวจความเสียหายเพื่อฟื้นฟูหลังน้ำลด พร้อมได้ลงเรือเข้าไปมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนที่ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านซึ่งถูกน้ำท่วม โดยย้ำรัฐบาลเป็นห่วงและให้ความสำคัญกับการดูแลประชาชนในสถานการณ์วิกฤต จะเร่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกคนผ่านพ้นสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ไปด้วยกัน ยืนยัน “รัฐบาลไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และจะแก้ปัญหาน้ำอย่างยั่งยืน
นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ลงพื้นที่ จ.อุตรดิตถ์ ที่เกิดอุทกภัยกระทบ 7 อำเภอ 42 ตำบล 10,733 หมู่บ้าน รวม 6,125 ครัวเรือน เพื่อดูแลผู้ประสบอุทกภัยโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ คนพิการ เด็กเล็ก และผู้ยากไร้ มีผู้เสียชีวิต 8 ราย สูญหาย 1 ราย พร้อมมอบถุงยังชีพ เครื่องอุปโภค-บริโภค และเครื่องนอนให้กับผู้ประสบภัยที่ อ.ทองแสนขัน ที่ได้รับผลกระทบ 4 ตำบล กว่า 4,000 ครัวเรือน บริเวณเทศบาลตำบลทองแสนขัน และที่บ้านวังปรากฏ วัดคีรีวงกฎ ต.ป่าคาย พร้อมเยี่ยมชมโรงครัว บรรจุอาหารกล่อง และติดตามการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง โดยกระทรวง พม. จะเร่งรัดให้ความช่วยเหลือให้ครบทุกมิติ ทั้งด้านสวัสดิการ การเยียวยาจิตใจ และการเข้าถึงสิทธิต่างๆ โดยมีทีม One Home (ทีมบูรณาการช่วยเหลือของ พม.) และอาสาสมัคร พม. ร่วมบูรณาการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง และจะกลับมาเยี่ยมและติดตามการช่วยเหลืออีกครั้ง
ขณะที่ นายสมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ และรองโฆษกกรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า ประเทศไทยยังคงได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อน “แมตโม” ที่กำลังเคลื่อนเข้าสู่ทะเลจีนใต้ตอนบน มุ่งหน้าสู่เกาะไหหลำและตอนใต้ของจีนหรือเวียดนามตอนบน แม้พายุจะไม่เข้าประเทศไทยโดยตรง แต่ส่งผลให้หลายพื้นที่มีฝนตกหนัก โดยเฉพาะภาคเหนือ (น่าน พะเยา เชียงราย อุตรดิตถ์) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน (เลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู) รวมถึงภาคกลาง กรุงเทพฯ และปริมณฑล หากมีฝนสะสมเกิน 35 มิลลิเมตร อาจเกิดน้ำท่วมขัง น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากได้ พร้อมเฝ้าระวังการระบายน้ำในลุ่มเจ้าพระยา โดยวันที่ 5–7 ต.ค. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีฝนเพิ่มขึ้นและบางแห่งมีฝนตกหนัก ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะบริเวณเชิงเขา ทางน้ำไหลผ่าน พื้นที่ลุ่ม และน้ำท่วมขัง ระวังอันตรายจากน้ำป่าไหลหลากและน้ำล้นตลิ่ง สำหรับทะเลอันดามันตอนบน มีคลื่นสูง 1–2 เมตร ขอให้ชาวเรือใช้ความระมัดระวัง
นอกจากนี้ กลางเดือนตุลาคมยังต้องติดตามพายุลูกใหม่ ก่อนที่ไทยจะเข้าสู่ฤดูหนาว จะเริ่มมีอากาศเย็นตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงต้นพฤศจิกายน ขอให้ประชาชนติดตามข่าวพยากรณ์อากาศใกล้ชิด และดูแลสุขภาพในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง
ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่า ระหว่างวันนี้ถึง 9 ต.ค. 68 พื้นที่ 10 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ รวมทั้งกรุงเทพมหานคร ต้องเฝ้าระวังระดับน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จากการที่กรมชลประทานปรับการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาเป็นไม่เกิน 2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ.ม./วินาที) ทำให้พื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำมีระดับน้ำเพิ่ม 0.1–0.4 เมตร ปภ. ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และสนับสนุนกำลังเจ้าหน้าที่ เครื่องจักรกล และอุปกรณ์เข้าสนับสนุนพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค. ส่งเครื่องจักรกลเพิ่มเติมใน จ.สิงห์บุรี และ จ.ปทุมธานี ซึ่งได้รับผลจากการระบายน้ำเพิ่มขึ้น
จ.สิงห์บุรี ศูนย์ ปภ. เขต 16 ชัยนาท ส่งรถบรรเทาอุทกภัย เครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ และเครื่องสูบส่งน้ำระยะไกล 3 กม. ช่วยระบายน้ำใน อ.เมืองฯ พร้อมรถผลิตน้ำดื่มและขวดน้ำกว่า 5,000 ขวด แจกจ่ายประชาชน ต.ชีน้ำร้าย อ.อินทร์บุรี
จ.ปทุมธานี ศูนย์ ปภ. เขต 1 ปทุมธานี จัดเครื่องสูบน้ำกำลังสูง 28,000 ลิตร/นาที พร้อมอุปกรณ์เข้าสูบระบายน้ำในพื้นที่ ต.เชียงรากใหญ่
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 68 ปภ. ได้ร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ AIS True และ NT ส่งข้อความแจ้งเตือนประชาชนผ่าน Cell Broadcast สถานการณ์น้ำแม่น้ำเจ้าพระยาที่ในพื้นที่ จ.อุทัยธานี และ จ.ชัยนาท เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ขอให้ผู้อาศัยอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา/แม่น้ำสะแกกรัง/ลำน้ำสาขา และที่ลุ่มต่ำ พื้นที่ จ.อุทัยธานี (อ.เมืองฯ) จ.ชัยนาท (อ.เมืองฯ อ.มโนรมย์ อ.วัดสิงห์ และอ.สรรพยา) จ.สิงห์บุรี(อ.อินทร์บุรี อ.เมืองฯ อ.พรหมบุรี) จ.ปทุมธานี (อ.เมืองฯ อ.สามโคก) จ.นนทบุรี (อ.ปากเกร็ด อ.เมืองฯ) และพื้นที่ต่อเนื่อง ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาตรวจสอบระดับน้ำอย่างใกล้ชิด หากระดับน้ำมีแนวโน้มสูงจนส่งผลกระทบให้ยกของขึ้นที่สูง ดูแลกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด
ด้านพลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้ทุกหน่วยเตรียมความพร้อมเต็มกำลัง เพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนทันทีเมื่อเกิดภัยพิบัติ จากอิทธิพลพายุ “บัวลอย” ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย. จนถึงปัจจุบัน พร้อมเฝ้าระวังพายุ “แมตโม” ซึ่งคาดจะส่งผลให้หลายพื้นที่มีฝนตกหนักช่วงวันที่ 5–7 ต.ค. นี้โดยเน้นการบูรณาการกับหน่วยงานท้องถิ่นและส่วนราชการในพื้นที่ เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึง ได้แก่
ภาคกลาง
– จ.ปทุมธานี กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 4 กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2 สนับสนุนการบรรจุกระสอบทรายกว่า 2,500 กระสอบ เสริมแนวคันกั้นน้ำ ป้องกันน้ำล้นเข้าท่วมโรงเรียนและวัดในพื้นที่ อ.สามโคก รวมถึงการรองรับการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาและน้ำทะเลหนุน
– จ.พระนครศรีอยุธยา กองพันทหารม้าที่ 25 กรมทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ และหลายหน่วยทหารร่วมกับประชาชน พระสงฆ์ และหน่วยงานในพื้นที่ จัดทำสะพานชั่วคราว เสริมคันกั้นน้ำ วางกระสอบทราย และติดตั้งพนังกั้นน้ำเพื่อป้องกันโบราณสถานสำคัญ อาทิ พระตำหนักสิริยาลัย และวัดไชยวัฒนาราม
– จ.อ่างทอง กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 11 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ นำกำลังพลช่วยเสริมแนวคันกั้นน้ำในพื้นที่ ต.โผงเผง อ.ป่าโมก ที่เกิดเหตุแนวกั้นน้ำชำรุด จึงเร่งนำบิ๊กแบคเข้าป้องกันเพิ่มเติมร่วมกับผู้นำท้องถิ่นและเรือนจำกลางจังหวัด
ภาคเหนือ
– จ.พิษณุโลก กองพลทหารราบที่ 4 สนับสนุนการบรรจุกระสอบทรายเพื่อเตรียมรับมือฝนตกหนักและน้ำป่าไหลหลากในเขต อ.เมือง
– จ.อุตรดิตถ์ มณฑลทหารบกที่ 35 ร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น ฟื้นฟูพื้นที่บ้านเรือน ตลาด และสถานที่ราชการที่ได้รับผลกระทบจากโคลนถล่ม หลังน้ำลดเข้าสู่ภาวะปกติ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
– จ.อุบลราชธานี มณฑลทหารบกที่ 22 จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว ขนย้ายสิ่งของและผู้ป่วยติดเตียงเข้าสู่พื้นที่ปลอดภัย
– จ.ขอนแก่น มณฑลทหารบกที่ 23 สนับสนุนการทำแนวพนังกั้นน้ำในพื้นที่ อ.น้ำพอง
– จ.อุดรธานี มณฑลทหารบกที่ 24 เร่งขนย้ายสิ่งของและทำแนวป้องกันน้ำ หลังอ่างเก็บน้ำห้วยหลวงเอ่อล้นตลิ่ง