นายกรัฐมนตรี ประชุม คอภ. นัดแรก สั่งหน่วยงานเร่งเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ครั้งที่ 1/2568 โดยมี นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมด้วย

นายอนุทิน กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ครั้งที่ 1 ของรัฐบาล ซึ่งปัจจุบันได้เกิดสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ในหลายพื้นที่หลายจังหวัด ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมากแก่ทรัพย์สินและชีวิตของประชาชน ประกอบกับในช่วงสัปดาห์นี้ ประเทศไทยยังได้รับอิทธิพลจากพายุแมตโม นับตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมเป็นต้นไปจะเป็นช่วงฤดูมรสุมในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งอาจจะมีฝนตกหนักและฝนตกสะสม ก่อให้เกิดสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งได้ในหลายพื้นที่

รัฐบาลมีความห่วงใยต่อสถานการณ์อุทกภัยและดินถล่มที่เกิดขึ้น ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้กระจายกันลงพื้นที่ในจังหวัดต่าง ๆ เพื่อติดตามสถานการณ์การให้ความช่วยเหลือ และให้กำลังใจแก่ผู้ประสบภัย พร้อมทั้งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนผู้ประสบภัย การประชุมครั้งนี้เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัย การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย การประเมินแนวโน้มสถานการณ์ และการหารือแนวทางการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการร่วมพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยให้ดำเนินไปอย่างเป็นระบบ บูรณาการกับทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ

ในส่วนของแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ที่ประชุมมีมติกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 เช่นเดียวกันกับปี 2567 ให้ความช่วยเหลือครัวเรือนละ 9,000 บาท ดังนี้

1. กรณีที่อยู่อาศัยประจำอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ดินถล่ม น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่งไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย

2. กรณีที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง ติดต่อกันเกินกว่า 7 วัน

ซึ่งการช่วยเหลือเยียวยาระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม – 6 ตุลาคม 2568 มีทั้งสิ้น 685,554 ครัวเรือน ครัวเรือนละ 9,000 บาท เป็นเงิน 6,169.986 ล้านบาท และได้มีข้อสั่งการ ดังนี้

เนื่องจากปัจจุบันมีปริมาณน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างปริมาณมาก และยังคงมีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ที่สำคัญ ช่วงวันที่ 9-13 ตุลาคม 2568 จะมีน้ำทะเลหนุน และอาจมีฝนตกในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ส่งผลต่อการระบายน้ำในช่วงดังกล่าว จึงมีความจำเป็นในการบริหารจัดการน้ำ ดังนี้

1. ให้กรมชลประทานคงการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาไว้ที่ไม่เกิน 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

2. ลดการระบายน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์และเขื่อนพระราม 6 ลง 100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

3. ให้กรมชลประทานเพิ่มการระบายน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ผ่านคลองชัยนาท-ป่าสัก

– เพิ่มการระบายน้ำที่ประตูระบายน้ำมโนรมย์ ให้เต็มศักยภาพที่ 210 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

– ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการใช้เครื่องผลักดันน้ำเพิ่มการระบายน้ำ ประตูระบายน้ำ-ทางระบายน้ำ พระนารายณ์ผ่านคลอง 8-16 ผ่านคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต และคลองลาดกระบัง โดยกำหนดจุดติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำเสริมในบริเวณคอคอด

– ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมทุกสถานีสูบส่วนบริเวณปากคลอง และให้เร่งสูบออกอ่าวไทย
ให้เหมาะสมกับจังหวะน้ำทะเลลง

4. ระบายน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ผ่านแม่น้ำท่าจีน แบ่งเป็น

– ให้กรมชลประทาน เพิ่มการระบายน้ำผ่านคลองฝั่งตะวันออกแม่น้ำท่าจีน และใช้คลองย่อยเดิมรับน้ำจากทุ่งด้านบนระบายน้ำลงคลองภาษีเจริญเพื่อทำหน้าที่เป็นคลองลัดเสริมการระบายน้ำ

– ให้กรมชลประทานเพิ่มการระบายน้ำผ่านคลองย่อยของแม่น้ำท่าจีนฝั่งตะวันตก เสริมการระบายน้ำ
ลงอ่าวไทย

– ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนการใช้เครื่องผลักดันน้ำเพิ่มการระบายน้ำ โดยกำหนดจุดติดตั้ง
เครื่องผลักดันน้ำเสริมในบริเวณคอคอด

5. ให้สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร เพิ่มการระบายน้ำผ่านกรุงเทพมหานคร บางส่วน
อย่างเหมาะสมเพื่อช่วยลดปริมาณน้ำท่วมสะสมในทุ่งเจ้าพระยา และต้องไม่ส่งผลกระทบกับกรุงเทพมหานคร

6. เพิ่มการรับน้ำเข้าทุ่งฝั่งซ้าย คลองชัยนาท-ป่าสัก (รับน้ำได้อีก 70 ล้าน ลบ.ม.) และทุ่งรับน้ำท่าวุ้ง ลพบุรี (รับน้ำได้อีก 22 ล้าน ลบ.ม.) มีศักยภาพการรับน้ำ ได้มากกว่าร้อยละ 80

7. บรรเทาปัญหาน้ำท่วมที่บางบาล ไปยังทุ่งบางกุ้ง พระนครศรีอยุธยา (รับน้ำได้อีก 4.7 ล้าน ลบม.)

ทั้งนี้จากการลงพื้นที่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี ขอให้เน้นการเยียวยาด้วยความรวดเร็วที่สุดในเวลาที่มี ส่วนการบริหารจัดการสถานการณ์ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ น้ำขัง น้ำหลาก ทั้งในส่วนของทรัพย์สิน ผลิตผลการเกษตร หรือโรคภัยต่างๆ ที่มากับน้ำ พร้อมให้เร่งรวบรวมช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยเร็ว

ทางด้านนายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า ได้ร่วมประชุม คอภ. เพื่อหารือเตรียมความพร้อม ติดตาม และเฝ้าระวังสถานการณ์ การป้องกัน การช่วยเหลือเยียวยาประชาชนจากสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ พร้อมจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศภช.) เป็นหน่วยบัญชาการที่บูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติแบบเบ็ดเสร็จ (One stop service) ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง