“ซาบีดา” ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย จ.พิษณุโลก สทนช. เตือน 13 จังหวัดภาคใต้ รับมือฝนหนัก 21 – 25 ต.ค. 68

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่าจนถึงปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก รวม 16 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดพิษณุโลก สุโขทัย พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม อุบลราชธานี อุดรธานี และฉะเชิงเทรา โดยพื้นที่บริเวณท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากกรมชลประทานได้มีการปรับการระบายน้ำให้เพิ่มสูงขึ้น ให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำในแม่น้ำตอนบนที่ไหลลงมาและปริมาณฝนที่ตกเพิ่มขึ้น ซึ่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะยังคงติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่ และให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนเจ้าหน้าที่ ชุดปฏิบัติการและเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าปฏิบัติการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างทันท่วงที ทั้งนี้ประชาชนสามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ทางไลน์ “ปภ. รับแจ้งเหตุ 1784” หรือสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง

ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (Smart Water Operation Center : SWOC) กรมชลประทาน ได้ติดตามสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา 3 เขื่อนหลัก วันที่ 19 ตุลาคม 2568 เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ปรับเพิ่มการระบายน้ำเป็น 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เนื่องจากฝนตกต่อเนื่องบริเวณภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำสายหลักและแม่น้ำสาขามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับปริมาณน้ำทางตอนบนที่ไหลมาสมทบอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำในพื้นที่ท้ายเขื่อนเพิ่มขึ้น โดยที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,845 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น พร้อมผันน้ำบางส่วนเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยาตามศักยภาพของคลองที่รับได้ ส่งผลให้พื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำได้รับผลกระทบบริเวณจังหวัดอ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี และชัยนาท

ขณะที่ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี ระบายน้ำอยู่ที่ 200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อลดผลกระทบพื้นที่ท้ายเขื่อน และช่วยให้ระดับน้ำในแม่น้ำป่าสักลดลง ถือเป็นการช่วยควบคุมระดับน้ำให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสมและลดปริมาณน้ำที่จะไปรวมกับแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งสอดคล้องกับเขื่อนพระรามหก ที่ปรับเพิ่มการระบายน้ำเป็น 201 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยบริหารจัดการน้ำเหนือเขื่อนด้วยการระบายน้ำเข้าคลองระพีพัฒน์ เพื่อควบคุมระดับน้ำเหนือเขื่อนให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและช่วยลดผลกระทบด้านท้ายเขื่อนให้ได้มากที่สุด พร้อมเร่งระบายน้ำด้านท้ายออกสู่อ่าวไทยให้เร็วที่สุด เพื่อช่วยลดภาระพื้นที่ด้านท้ายเขื่อนของแม่น้ำเจ้าพระยาและช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน

สำหรับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคใต้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ติดตามการคาดการณ์สภาพอากาศจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่า จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในพื้นที่ภาคใต้ ทำให้มีพื้นที่เสี่ยงต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำ เนื่องจากระบายน้ำไม่ทัน ในช่วงวันที่ 21 – 25 ตุลาคม 2568 ดังนี้

1. พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมือง บริเวณ 1.จังหวัดระนอง (อำเภอเมืองระนอง สุขสำราญ กะเปอร์ ละอุ่น และกระบุรี) 2.จังหวัดชุมพร (อำเภอละแม ปะทิว  พะโต๊ะ และท่าแซะ) 3.จังหวัดภูเก็ต (อำเภอเมืองภูเก็ต ถลาง และกะทู้) 4.จังหวัดสุราษฎร์ธานี (อำเภอกาญจนดิษฐ์ ท่าฉาง บ้านนาสาร และพุนพิน) 5.จังหวัดพัทลุง (อำเภอกงหรา และศรีนครินทร์) 6.จังหวัดพังงา (อำเภอเมืองพังงา กะปง ตะกั่วป่า และท้ายเหมือง) 7.จังหวัดกระบี่ (อำเภอเมืองกระบี่ คลองท่อม ลำทับ และอ่าวลึก) 8.จังหวัดนครศรีธรรมราช (อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ฉวาง ท่าศาลา ทุ่งสง นบพิตำ นาบอน ปากพนัง พรหมคีรี พิปูน ร่อนพิบูลย์ ลานสกา และสิชล) 9.จังหวัดตรัง (อำเภอปะเหลียน ย่านตาขาว ห้วยยอด และสิเกา) 10.จังหวัดสตูล (อำเภอเมืองสตูล ควนโดน ทุ่งหว้า และละงู) 11.จังหวัดสงขลา (อำเภอกระแสสินธุ์ นาทวี รัตภูมิ สะเดา สะบ้าย้อย และหาดใหญ่) 12.จังหวัดยะลา (อำเภอเมืองยะลา กาบัง ธารโต บันนังสตา เบตง และยะหา) 13.จังหวัดนราธิวาส (อำเภอสุคิริน แว้ง จะแนะ และศรีสาคร)

2. เฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80 ของความจุเก็บกักบริเวณ จังหวัดระนอง สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต กระบี่ และอ่างเก็บน้ำที่มีสถิติปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำมากกว่าความจุเก็บกัก ที่มีความเสี่ยงน้ำล้นอ่างฯ และส่งผลกระทบให้น้ำท่วมบริเวณด้านท้ายน้ำ

3. เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและระดับน้ำล้นตลิ่งและท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำ บริเวณแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขาของคลองชุมพร แม่น้ำหลังสวน แม่น้ำตาปี คลองชะอวด คลองลำ คลองท่าแนะ แม่น้ำตรัง แม่น้ำสายบุรี และแม่น้ำปัตตานี เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้

1. ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีฝนตกสะสมมากกว่า 90 มิลลิเมตร ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เคยเกิดน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ

2. ติดตาม ตรวจสอบ ซ่อมแซม แนวคันบริเวณริมแม่น้ำ และเร่งกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ พร้อมวางแผน การบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสม ปรับการบริหารจัดการน้ำในแหล่งเก็บกักน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก น้ำในลำน้ำ รวมถึงเขื่อนระบายน้ำและประตูระบายน้ำ ให้สอดคล้องกันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และอิทธิพลของ การขึ้น – ลง ของน้ำทะเล โดยการเร่งระบายและพร่องน้ำรองรับสถานการณ์ฝนที่คาดว่าจะตกหนัก

3. เตรียมแผนรับสถานการณ์น้ำหลาก เตรียมความพร้อมบุคลากร เครื่องจักรเครื่องมือ กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ลอกท่อระบายน้ำ และบูรณาการความพร้อมให้ความช่วยเหลือได้ทันที

4. ประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำ และแจ้งเตือนล่วงหน้า ให้ประชาชนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ เตรียมพร้อมในการอพยพได้ทันท่วงทีหากเกิดสถานการณ์

ส่วนพื้นที่ที่ยังประสบอุทกภัยในขณะนี้ รัฐบาลได้ติดตามการช่วยเหลือและลงพื้นที่ให้กำลังใจผู้ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง โดยนางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยังอาคารอเนกประสงค์องค์การบริหารส่วนตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก มอบเครื่องอุปโภคบริโภคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย จำนวน 800 ชุด โดยอำเภอบางระกำ เป็นหนึ่งในพื้นที่บางระกำโมเดล ที่ประสบปัญหาอุทกภัยเป็นประจำทุกปี ซึ่งในปี 2568 มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 9 ตำบล 81 หมู่บ้าน มีน้ำท่วมบ้านเรือนประชาชน 3,631 ครัวเรือน พื้นที่การเกษตรเสียหาย 7,140 ไร่ ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของประชาชนในพื้นที่จำนวนมาก

นางสาวซาบีดา กล่าวชื่นชมจังหวัดพิษณุโลก ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่ร่วมแรงร่วมใจในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยได้อย่างทันท่วงทีและเต็มกำลัง สำหรับการลงพื้นที่มามอบเครื่องอุปโภคบริโภคในครั้งนี้ จะเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ได้เบื้องต้น เป็นการส่งต่อความรัก ความห่วงใย และกำลังใจจากรัฐบาลถึงประชาชนทุกคน ขอให้เชื่อมั่นว่า ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เราจะก้าวผ่านวิกฤตอุทกภัยนี้ไปด้วยกัน

จากนั้นได้เดินทางไปยังศูนย์ประสานแผนและพัฒนาท้องถิ่น อำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภคจำนวน 307 ชุด ให้แก่ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ และกล่าวว่า รัฐบาลได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มกำลัง พร้อมเดินหน้าฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยโดยใช้ “ทุนทางวัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่น” เป็นพลังขับเคลื่อน และฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชน ควบคู่กับการป้องกันความเสียหายล่วงหน้า

สำหรับการจ่ายเงินเยียวยาแก่ประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยนั้น นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันอังคารที่ 21 ตุลาคม 2568 จะมีการเสนอเรื่องเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย (อุทกภัย) ครัวเรือนละ 9,000 บาท ด้วย โดยตนเองในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงบประมาณ ได้กำชับว่าจะต้องดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาให้รวดเร็ว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง