ครม. รับทราบข้อเสนอแนะในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าของไทย “สันติ” เร่งปราบปรามเครือข่ายลักลอบนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าปกป้องเยาวชนไทย

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าของประเทศไทย ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เสนอ ซึ่ง กสม. ระบุว่า สถานการณ์การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย
มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ทำให้เกิดการเสพติดนิโคตินอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ครอบครัว และสังคมโดยรวม

ข้อมูล สำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 พบว่า ในกลุ่มเด็กและเยาวชนอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 11.44 เท่า จากเดิม 78,742 คนในปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็น 900,459 คนในปี 2567

ปัจจัยที่ทำให้เกิดการใช้บุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้นในกลุ่มเด็กและเยาวชน

1. การซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ ทำให้เข้าถึงได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว

2. การนำเสนอภาพลักษณ์ของบุหรี่ไฟฟ้าที่น่าดึงดูดใจในกลุ่มผู้บริโภคเด็กและเยาวชน ทั้งรูปลักษณ์ รสชาติ และการตลาด

กระทรวงสาธารณสุข รายงานโทษของบุหรี่ไฟฟ้าโดยเฉพาะต่อกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นช่วงวัย          ที่สมองกำลังพัฒนา นิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้ามีฤทธิ์รุนแรงในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ส่งผลต่อการทำงานของสมอง ด้านสมาธิ การเรียนรู้และพฤติกรรม มีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า ซึ่งสามารถนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้ อีกทั้งรายงานผู้ป่วยปอดอักเสบจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ส่วนใหญ่เป็นเยาวชนอายุเพียง 15 ปี บางรายอาการรุนแรงมากจนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

รวมทั้งการจำหน่ายและการใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายสะท้อนถึงการขาดประสิทธิภาพในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า เนื่องจากไทยยังไม่มีกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าอย่างชัดเจนทำให้เกิดช่องว่างในการบังคับใช้

นอกจากนี้ ยังไม่มีการป้องกันการแทรกแซงของกลุ่มทุนจากการกำหนดนโยบายในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า  จึงมีข้อเสนอแนะเพื่อคุ้มครองสิทธิด้านสุขภาพของประชาชน โดยให้กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอันตรายหรือผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและรอบด้าน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่เป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า

รัฐบาลให้ความสำคัญทั้งการป้องกันและเร่งปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า โดยต้องมีการควบคุม กำกับอย่างเข้มงวด เพื่อดูแลเยาวชนไทยให้ห่างไกลจากภัยบุหรี่ไฟฟ้า จึงเร่งพิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ให้มีมาตรการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบให้ครอบคลุมถึงบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ รวมถึงควบคุมการผลิต การนำเข้า การจำหน่าย การโฆษณาและการใช้ ทั้งในพื้นที่จริงและสื่อออนไลน์ และดำเนินการตามหลักการในมาตรา 5.3 ของกรอบอนุสัญญาขององค์การอนามัยโลกว่าด้วยการควบคุมยาสูบให้มีผลในทางปฏิบัติมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเร่งผลักดันให้มีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อป้องกันการแทรกแซงนโยบายจากธุรกิจบุหรี่ หรือมีมาตรการทางกฎหมายในการป้องกันการแทรกแซงนโยบายจากกลุ่มอุตสาหกรรมยาสูบและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

โดยที่ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในเรื่องนี้เป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 247 (3) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  พ.ศ. 2560 มาตรา 26 (3) จึงเข้าข่ายลักษณะเรื่องที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 4 (1)

คณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยให้กระทรวงสาธารณสุขสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

นอกจากนี้ นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการขับเคลื่อนการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมด้วย พล.ต.ท. ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผู้บังคับการ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และนายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ร่วมแถลงข่าวการทลายเพจบุหรี่ไฟฟ้าออนไลน์ โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหารวม 2 ราย ประกอบด้วย นายสมชาย เจนวจีพร และ น.ส. ชนิศา กุลภควา พร้อมยึดของกลางบุหรี่ไฟฟ้า ชนิดสูบแล้วทิ้งยาบุหรี่ไฟฟ้าชนิดเติม และชนิดเปลี่ยนหัว เครื่องบุหรี่ไฟฟ้า อุปกรณ์บุหรี่ไฟฟ้ารวมกว่า 30,000 ชิ้น มูลค่าของกลางประมาณ 15,000,000 บาท พร้อมยึดสมุดบัญชีธนาคารและบัตรอิเล็กทรอนิกส์ เงินสด จำนวน 1,600,000 บาท ณ โกดังเลขที่ 68/61 หมู่ 5 ซอยกิ่งแก้ว 40/2 ถนนกิ่งแก้ว ตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ

นายสันติ เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลในการปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนที่อาจตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้ค้า ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายร่วมกันปฏิบัติหน้าที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการดำเนินงานเชิงรุก ทั้งด้านการสืบสวนสอบสวนและการขยายผล เพื่อตัดวงจรเครือข่ายการนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ โดยรัฐบาลจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้นำเข้าผู้จำหน่าย หรือผู้มีส่วนร่วมในเครือข่าย รัฐบาลให้ความสำคัญ ไม่ได้นิ่งนอนใจ และมีความกังวลต่อปัญหาการสูบบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และได้เร่งผลักดันการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ถึงภัยอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชน เพื่อป้องกันการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ โดยขอความร่วมมือจากสถานศึกษา ครอบครัว และชุมชน ให้ร่วมกันเฝ้าระวังและป้องกัน อีกทั้งได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านเทคโนโลยีและแฟลตฟอร์มออนไลน์ รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อร่วมกันตรวจสอบและดำเนินการทางกฎหมายกับผู้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต และผลักดันมาตรการเชิงรุกเพื่อสกัดกั้นการเข้าถึงของเยาวชนอย่างเป็นระบบและจริงจัง รัฐบาลพร้อมเดินหน้าเชิงรุกครบทุกมิติ ทั้งการรณรงค์ป้องกัน การปราบปราม และการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิด เพื่อให้สังคมไทยปลอดบุหรี่ไฟฟ้าอย่างแท้จริง หากประชาชนมีเบาะแสเกี่ยวกับการจำหน่ายหรือครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า สามารถแจ้ง สคบ. ผ่านช่องทาง สายด่วน สคบ. โทร. 1166

ข่าวที่เกี่ยวข้อง