การร่วมลงนามถ้อยแถลงผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่มาเลเซีย ระหว่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับพลเอกฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ร่วมลงนามเพื่อเป็นสักขีพยาน โดยถ้อยแถลงดังกล่าวมีสาระสำคัญประกอบด้วย
1. ความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างสองประเทศตามที่ได้ประกาศไว้ ณ เมืองปุตราจายา มาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 และย้ำความมุ่งมั่นอย่างหนักแน่นในการละเว้นการคุกคามหรือใช้กำลังการแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติ และการเคารพต่อเขตแดนระหว่างประเทศและต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
2. ความมุ่งมั่นอย่างหนักแน่นในการยึดมั่น และดำเนินการตามข้อตกลงที่ได้บรรลุร่วมกันในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC)
3. การลงนามในเอกสารขอบเขตการจัดตั้งกลไกผู้สังเกตการณ์อาเซียน(ASEAN Observer Team : AOT) ซึ่งจะประกอบด้วยบุคลากรจากรัฐสมาชิกอาเซียน เพื่อให้แน่ใจว่าข้อตกลงหยุดยิงได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ
4. ทั้ง 2 ฝ่ายให้คำมั่นที่จะลดความตึงเครียดและฟื้นฟูความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน โดยได้ตกลงในขั้นตอนดังต่อไปนี้
• ลดความตึงเครียดทางการทหาร รวมถึงการถอนอาวุธและยุทโธปกรณ์หนักและทำลายล้างสูงออกจากแนวชายแดนและนำกลับไปยังที่ตั้งปกติ
• ละเว้นการเผยแพร่หรือส่งเสริมการใช้ข้อมูลเท็จ
• เห็นพ้องที่จะดำเนินมาตรการสร้างความเชื่อมั่นโดยทันทีและเต็มรูปแบบเพื่อฟื้นฟูและรักษาความเชื่อมั่น
• ประสานงานและดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในพื้นที่ชายแดนตามที่ได้ตกลงกันในที่ประชุม GBC
• ยืนยันความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนและการจัดทำหลักเขตแดนผ่านสันติวิธีและกฎหมายระหว่างประเทศ
5. เมื่อมีการดำเนินการตามมาตรการข้างต้นอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ทั้ง 2 ฝ่ายจะยอมรับว่าเป็น
การสิ้นสุดการเป็นปรปักษ์ที่ดำเนินอยู่ ไทยจะดำเนินการปล่อยเชลยศึกโดยพลัน
6. เพิ่มพูนความร่วมมือ เพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติต่าง ๆ
7. รัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายยืนยันความมุ่งมั่นในการแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติ โดยเคารพในกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญา และความตกลงที่มีอยู่
8. ทั้ง 2 ฝ่ายเชื่อมั่นว่า การหารือครั้งนี้ ซึ่งมีประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
เข้าร่วมและให้การสนับสนุนเป็นรากฐานที่มั่นคงต่อความเคารพซึ่งกันและกันและการส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาค
และจากถ้อยแถลงดังกล่าวที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของทั้ง 4 ประเทศในการส่งเสริมความโปร่งใส การสร้างความไว้วางใจ และการบริหารจัดการกำลังทางทหารอย่างมีความรับผิดชอบในภูมิภาค นำไปสู่การประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC ) ไทย-กัมพูชา สมัยพิเศษ ว่าด้วยการถอนอาวุธหนักและอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ระหว่างภูมิภาคทหารที่ 4 แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และกองทัพภาคที่ 2 แห่งราชอาณาจักรไทย ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 ณ โอเสม็ด จังหวัดอุดรมีชัย ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีพลโท โปว เฮง ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และพลโท วีระยุทธ รักษ์ศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 แห่งราชอาณาจักรไทย เป็นประธานร่วม และมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) จากทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา เข้าร่วมสังเกตการณ์ในที่ประชุม ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงร่วมกันในการดำเนินการถอนอาวุธหนักเป็นระยะ (Phased Removal) และมาตรการสร้างความไว้วางใจร่วมกัน เพื่อเสริมสร้าง ความเชื่อใจระหว่างกันและเสถียรภาพตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้นิยามและจำแนกอาวุธ 3 ประเภท ดังนี้
1 ประเภท A หมายถึง ระบบจรวดหลายลำกล้องที่มีตั้งแต่ 2 ลำกล้องขึ้นไป
2 ประเภท B หมายถึง ระบบปืนใหญ่ทุกประเภท ประกอบด้วยระบบปืนใหญ่ลากจูงและปืนใหญ่อัตราจร รวมถึงปืนใหญ่ขนาด 105 มม. 122 มม. 130 มม. 152 มม. และ 155 มม.
3 ประเภท C หมายถึง รถหุ้มเกราะ โดยเฉพาะรถถัง ที่ออกแบบมาเพื่อให้มีการเคลื่อนที่ที่ได้รับการปกป้อง อำนาจการยิงที่เหนือกว่า และกำลังสนับสนุนโดยตรง
ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงที่จะออกแถลงข่าวเพื่อรายงานความคืบหน้าและการตรวจสอบกระบวนการถอนอาวุธ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณะ ซึ่งตกลงกันว่า หากฝ่ายใดปกปิดหรือบิดเบือนจำนวนหรือประเภทของอาวุธ ถือว่า การกระทำดังกล่าวสื่อถึงความไม่จริงใจในการคืนสู่สภาวะปกติ เสถียรภาพ และความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 ประเทศ ทั้งนี้การถอนอาวุธหนักและอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (ประเภท A) ภายใต้ระยะที่ 1 จะดำเนินการเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 1 – 21 พฤศจิกายน 2568 จากนั้นจะมีการประชุมฝ่ายเลขานุการ RBC เพื่อวางแผนและดำเนินการสำหรับระยะที่ 2 ที่จะจัดขึ้นวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 โดยการถอนอาวุธหนักและอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงในระยะที่ 2 (ประเภท B) จะดำเนินการเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน – 12 ธันวาคม 2568 และจะมีการประชุมฝ่ายเลขานุการ RBC เพื่อวางแผนและดำเนินการระยะที่ 3 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงร่วมกันต่อไป โดยการถอนอาวุธหนักและอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงในระยะที่ 3 (ประเภท C) กำหนดให้ดำเนินการเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 13 – 31 ธันวาคม 2568
ทั้งนี้ภายหลังจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางกลับจากการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ที่เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี ได้แถลงข่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุถึงเหตุการณ์ที่นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน พร้อมชาวบ้านจำนวนหนึ่ง พยายามกดดันให้ชาวกัมพูชาที่รุกล้ำอธิปไตยไทยออกจากพื้นที่ ที่บ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ที่ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ได้ทำให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดี ไม่ทำให้บรรยากาศของการปะทะกันของประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายเกิดขึ้น ซึ่งหากเป็นการปะทะกันระหว่างประชาชนกับประชาชนจะทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปได้ยาก และต้องขอบคุณคนไทยด้วยที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ขอยืนยันว่าจะใช้วิธีการ ทุกด้าน ไม่ว่าด้านความมั่นคง หรือด้านการเจรจาตามกรอบทวิภาคีที่มี ในการที่จะทำให้ประเทศไทยของเราได้ผ่านพ้นและเกิดความสันติสุขมีสันติภาพเกิดขึ้นในภูมิภาค
ส่วนเรื่องของการที่ตนเองได้พูดถึงการรุกล้ำเขตแดน ต้องขอโอกาสนี้ขออภัยประชาชน ต้องโทษตัวเองว่ามีความผิดพลาดบกพร่องในเรื่องของการสื่อสารต่อประชาชนและจะระมัดระวังไม่ให้การบกพร่องในการสื่อสารเกิดขึ้นอีกในอนาคต ขอยืนยันว่าไม่มีทางที่ประเทศไทยเราจะเสียดินแดน เสียอธิปไตย เสียเกียรติภูมิ เสียศักดิ์ศรี และคนไทยทุกคนจะต้องมีความปลอดภัยจากข้อพิพาทระหว่าง 2 ประเทศจะไม่ยอมให้เกิดความสูญเสียเพิ่มขึ้นอีกเป็นอันขาด
สำหรับการเริ่มต้นถอนอาวุธวันแรกนั้นถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ซึ่งได้มีการลงนามกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วและทั้ง 2 ประเทศก็ได้แสดงเจตนารมณ์ที่ดีต่อกันได้มีการถอนรถถังฝ่ายละ 2 คัน ต่างฝ่ายต่างปฏิบัติ และขณะนี้ทางฝ่ายกองทัพก็ได้มีการเจรจากับฝ่ายกองทัพของกัมพูชาตลอดเวลาในเรื่องของการกำหนดมาตรการวิธีการที่จะถอนอาวุธจากจุดไหนไปจุดไหนและเรื่องของการเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ ในระยะแรกอาจมีความติดขัดบ้าง แต่ด้วยความเข้าใจได้คำนึงถึงถ้อยแถลงที่ได้ลงนามกันไว้มีทั้งประธานอาเซียน และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริการ่วมเป็นสักขีพยาน ก็เท่ากับมีโลกทั้งโลกเป็นสักขีพยานเพราะฉะนั้นทั้ง 2 ฝ่ายพยายามที่จะทำตามข้อกำหนดที่ได้ตกลงกันไป ส่วนเรื่องการเปิดด่านยืนยันอีกครั้งว่าถ้าตนเองยังอยู่ในรัฐบาลจะเปิดด่านต้องขอประชาชนก่อน จะได้ไม่ต้องพูดกันอีก และเข้าใจว่ามันมาถึงจุดที่รัฐบาลจะต้องฟังประชาชนในเรื่องของการเปิดด่านและจะไม่เปิดด่านจนกว่าจะมั่นใจว่าภัยต่อความมั่นคงของชาติลดลงไปจนเราสามารถวางใจและควบคุมได้ และการส่งตัวทหารกัมพูชาที่ไทยควบคุมตัวไว้กลับจะกระทำเมื่อถึงเวลาที่สมควร
ขณะที่เรื่องการรับบริจาคจากประชาชน นั้น หากดูงบกระทรวงกลาโหมในแต่ละปีอยู่ลำดับต้นๆ อยู่แล้ว คิดว่านี่คือรูปแบบของประเทศไทย ตนเองไม่เคยได้ยินว่ากองทัพบอกว่าขอยุทธภัณฑ์หรือขอการบริจาคอะไรต่างๆเพราะว่ากองทัพไม่มีงบประมาณ แต่เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้นี่คือพลังของคนไทยและเชื่อว่าการที่ประเทศไทยรักษาอธิปไตยมาได้เป็นเวลานาน และมีความมั่นใจว่ารบกับใครก็ไม่มีแพ้ เพราะเรามั่นใจว่าประชาชนเมื่อมีเหตุการณ์ที่เป็นข้อพิพาทกับใครก็ตามคนไทยจะรวมหัวใจเป็นหนึ่งเดียวและใครมีอะไรก็พร้อมที่จะนำมาช่วย ซึ่งตนเองได้เห็นมาแล้วเมื่อครั้งที่มีการสู้รบกันเราก็ไปเปิดศูนย์อพยพที่บุรีรัมย์ก็ใช้สนามแข่งรถมาเป็นศูนย์อพยพปรากฏว่าของหลั่งไหลมาทั่วทุกสารทิศ ถือเป็นจิตสำนึกเป็นความเสียสละของคนไทยมากกว่าเพราะฉะนั้นตรงนี้อย่าไปคิดว่ากองทัพออกมาทำอะไร เอาเป็นว่าเมื่อประเทศไทยมีภัยคนไทยทุกคนพร้อมที่จะร่วมมือกันต่อสู้กับอริราชศัตรู
และในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 เวลา 13.30 น. เชิญชมการถ่ายทอดสด “การแถลงข่าวความคืบหน้าจากผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรี และ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา (Joint Declaration) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (JBC และ GBC)” ผ่านทาง TV : NBT2HD และ Facebook / Youtube (Live) : กรมประชาสัมพันธ์ โดยนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พล.ร.ต. สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ที่ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล








