สถานการณ์อุทกภัยที่ขณะนี้ยังมีหลายจังหวัดยังไม่คลี่คลายหลายหน่วยงานยังเร่งระดมให้ความช่วยเหลือ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่โดยจุดแรกได้ลงพื้นที่ตำบลเกาะเกร็ด มีครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบและได้รับถุงยังชีพ จำนวน 1,354 ครัวเรือน จากนั้นคณะเดินทางต่อไปยังวัดเตย ตำบลบางตะไนย์ เพื่อมอบถุงยังชีพเพิ่มเติมให้แก่ประชาชนในหมู่ที่ 3 จำนวน 147 ครัวเรือน ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นมาตรการเร่งด่วนของรัฐบาลในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดนนทบุรี เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพได้อย่างทันท่วงที และลดผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมให้ได้มากที่สุด
ส่วนสถานการณ์การระบายน้ำ กรมชลประทาน แจ้งว่า เมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 มีปริมาณน้ำไหลผ่านสถานี C.2 นครสวรรค์ที่ 2,948 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สมทบกับแม่น้ำสะแกกรังสถานี Ct.25 วัดได้ 44 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระบายผ่านเขื่อนเจ้าพระยาที่อัตรา 2,778 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ +17.50 เมตร ระดับทะเลปานกลาง และระดับน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ +16.45 เมตร ระดับทะเลปานกลาง จากสถานการณ์ปริมาณน้ำไหลเข้าเหนือเขื่อนเจ้าพระยามีแนวโน้มทรงตัว และลดลง เล็กน้อยในช่วงเวลานี้ เพื่อเป็นการลดผลกระทบด้านท้ายเขื่อน จึงปรับลดปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 เวลา 04.00 น. ปรับลดเหลืออัตรา 2,760 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และคงอัตราดังกล่าวต่อเนื่อง หากสถานการณ์ปริมาณน้ำไหลเข้าเหนือเขื่อนเจ้าพระยามีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง จะทำการปรับลดการระบายน้ำท้ายเขื่อนต่อไป สำหรับแนวทางการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาในช่วงระยะเวลานี้ จะหน่วงน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ทดยกระดับตามความจำเป็นไม่เกิน +17.70 เมตร ระดับทะเลปานกลาง รับเข้าระบบฝั่งซ้ายและฝั่งขวาอย่างเต็มศักยภาพ รวมประมาณ 640 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และขอประชาสัมพันธ์ทุกภาคส่วนทราบถึงสถานการณ์น้ำและติดตามสถานการณ์น้ำฝน และน้ำท่า อย่างใกล้ชิด
ด้านกรมทางหลวง สรุปสถานการณ์อุทกภัยและดินสไลด์บนทางหลวงประจำวันที่ 16 พฤศจิกายน 2568
พบว่า ทางหลวงถูกน้ำท่วมในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ สุโขทัย อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และสิงห์บุรี ได้รับผลกระทบ 8 สายทาง จำนวน 15 แห่ง การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง ที่จังหวัดเชียงใหม่ และอ่างทอง ทั้งนี้ กรมทางหลวงได้จัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกด้านการจราจร พร้อมระดมเร่งวางกระสอบทรายกั้นน้ำตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยาและเฝ้าระวังสถานการณ์ตลอด 24ชั่วโมง ขอให้ประชาชนใช้ความระมัดระวังในการเดินทาง ปฏิบัติตามป้ายเตือน และคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ได้ติดตามสภาวะอากาศและพิจารณาปัจจัยเสี่ยง ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยา ได้มีประกาศฉบับที่ 3 เรื่อง อากาศหนาวเย็นบริเวณประเทศไทยตอนบน ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณภาคใต้ และคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทย ระบุว่า ในช่วงวันที่ 17 – 23 พฤศจิกายน 2568 ประเทศไทยตอนบนจะมีอากาศแปรปรวน โดยจะมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง และมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิจะลดลง 4 – 7 องศาเซลเซียส ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลง 2 – 4 องศาเซลเซียส
สำหรับภาคใต้ มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ เนื่องจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุม อ่าวไทย และภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับจะมีคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันออกเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคใต้ สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังค่อนข้างแรง โดยอ่าวไทยมีคลื่นสูง 2 – 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 2 – 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร จึงขอแจ้งพื้นที่เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง และดินโคลนถล่ม ระหว่างวันที่ 17 – 23 พฤศจิกายน 2568 แยกเป็น
– ภาคกลาง 2 จังหวัด ได้แก่ เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์
– ภาคใต้ 13 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ระนอง พังงา กระบี่ ตรัง และสตูล
พื้นที่เฝ้าระวังคลื่นลมแรง ระหว่างวันที่ 19 – 23 พฤศจิกายน 2568
– ภาคใต้ 7 จังหวัด ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ (ทุกอำเภอ) ชุมพร (อำเภอเมืองชุมพร อำเภอปะทิว อำเภอสวี อำเภอทุ่งตะโก อำเภอหลังสวน และอำเภอละแม) สุราษฎร์ธานี (อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี อำเภอไชยา อำเภอท่าชนะ อำเภอท่าฉาง อำเภอพุนพิน อำเภอดอนสัก อำเภอกาญจนดิษฐ์ อำเภอเกาะสมุย และอำเภอเกาะพะงัน) นครศรีธรรมราช (อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช อำเภอขนอม อำเภอสิชล อำเภอท่าศาลา อำเภอปากพนัง และอำเภอหัวไทร) สงขลา (อำเภอเมืองสงขลา อำเภอระโนด อำเภอกระแสสินธุ์ อำเภอสทิงพระ อำเภอสิงหนคร อำเภอจะนะ และอำเภอเทพา) ปัตตานี (อำเภอเมืองปัตตานี อำเภอหนองจิก อำเภอยะหริ่ง อำเภอปะนาเระ อำเภอสายบุรี และอำเภอไม้แก่น) และนราธิวาส (อำเภอเมืองนราชิวาส และอำเภอตากใบ)
ทั้งนี้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง ได้ประสานจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และพื้นที่ภาคใต้ 13 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ระนอง พังงา กระบี่ ตรัง และสตูล เตรียมรับมือสถานการณ์ภัย โดยติดตามปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่แต่ละจุดอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่เสี่ยงและบริเวณที่มีฝนตกสะสมมากกว่า 90 มิลลิเมตร ใน 24 ชั่วโมง และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เคยเกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง เพื่อลดผลกระทบจากเหตุอุทกภัยให้ได้มากที่สุด สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ โดยเฉพาะถ้ำน้ำตก ถ้ำลอด หากมีฝนตกหนักมีความเสี่ยงที่จะเกิดภัย ให้ประกาศแจ้งเตือนและปิดกั้นห้ามเข้าพื้นที่โดยเด็ดขาด พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัยตลอด 24 ชั่วโมง
กรณีที่มีคลื่นลมแรง โดยเฉพาะ 7 จังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ขอให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกประกาศหรือติดตั้งสัญญาณแจ้งเตือนบริเวณชายฝั่งทะเล ห้ามนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำทะเลโดยเด็ดขาด และให้แจ้งชาวเรือ ผู้บังคับเรือ และผู้ประกอบการเดินเรือโดยสาร เพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ หากสถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรง ให้พิจารณาห้ามเดินเรือเด็ดขาด พร้อมกันนี้ ได้ประสานศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จัดทีมปฏิบัติการและนำเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าประจำพื้นที่เสี่ยง พร้อมเข้าเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันทีหากเกิดสถานการณ์ขึ้น ตลอด 24 ชั่วโมง และขอให้จังหวัดประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนติดตามข้อมูลสภาวะอากาศและข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด รวมถึงแจ้งเตือนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยทราบล่วงหน้าเพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์โดยปฏิบัติตามคำแนะนำจากทางราชการอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ขอให้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยที่อาจเกิดขึ้น โดยสามารถติดตามประกาศการแจ้งเตือนภัยที่แอปพลิเคชัน “THAI DISASTER ALERT” และหากได้รับความเดือดร้อนสามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ1784” และสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด
24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือ








