บีโอไอเร่งสนับสนุนผู้ประกอบการไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย เทคโนโลยีและนวัตกรรม นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 นักลงทุนไทยยังคงมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ โดยมีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบริษัทไทยข้างมาก 840 โครงการ มูลค่า 447,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 99 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
บีโอไอผลักดันภาคเอกชนไทยให้ลงทุนในกิจการที่ใช้ แรงงานทักษะสูง เทคโนโลยีสมัยใหม่ และนวัตกรรม พร้อมจัดกิจกรรมเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทย–ต่างชาติ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ การรับช่วงการผลิตชิ้นส่วน และร่วมทุน ส่งผลให้การลงทุนในกิจการฐานความรู้และเทคโนโลยีสูงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
การลงทุนหลักใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่
1. เกษตร–อาหาร–เทคโนโลยีชีวภาพ มูลค่า 31,000 ล้านบาท โครงการแปรรูปสินค้าเกษตร ผลิตอาหารสุขภาพ อาหารออร์แกนิก อาหารสัตว์เลี้ยงเกรดพรีเมียม และผลิตภัณฑ์ชีวภาพ (Bioplastics, Biofuel, Bio-Chemical)
2. ธุรกิจบริการ–ท่องเที่ยว–ขนส่ง–การแพทย์ มูลค่า 30,000 ล้านบาท มีโรงแรม บริษัทขนส่งทางอากาศและทางเรือ รวมถึงบริการทางการแพทย์
3. ดิจิทัล มูลค่า 140,000 ล้านบาท ลงทุน Data Center ซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์มดิจิทัล และดิจิทัลคอนเทนต์
4. สาธารณูปโภคสำหรับภาคอุตสาหกรรม มูลค่า 93,000 ล้านบาท เน้นผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและพัฒนานิคมอุตสาหกรรม
5. ชิ้นส่วนเครื่องจักรและยานยนต์ มูลค่า 3,400 ล้านบาท สะท้อนความเข้มแข็งของซัพพลายเชนไทยและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูง
บีโอไอให้ความสำคัญกับ SME ไทย โดยกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1 ล้านบาท และผ่อนปรนให้ SME ไทยใช้เครื่องจักรมือสองบางส่วน พร้อมสิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 2 เท่า เพื่อส่งเสริมการเติบโตและการแข่งขันระดับสากล
ตัวอย่างการลงทุนเด่น เช่น บจ. พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้, บจ. เอ็กโซติค ฟู้ด, บมจ. ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น, บจ. เมดีซ กรุ๊ป, บจ. ซี.ซี.เอส. แอดวานซ์ เทค, บจ. ไซออน โมบิลิตี้ และบจ. โปรเฟนเดอร์ จำกัด ซึ่งเป็นการต่อยอดนวัตกรรมสู่การลงทุนเชิงพาณิชย์








