นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) ครั้งที่ 6/2568 โดยมีคณะรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย เข้าร่วมประชุม
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกช่วงบ่ายของวันจันทร์จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีสถานการณ์น้ำท่วมเกิดขึ้นในหลายจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ร่วมกันออกมาตรการต่างๆ ในการแก้ปัญหาให้กับประชาชนที่ประสบภัยในพื้นที่ดังกล่าว โดยเหตุการณ์อุทกภัยในครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในเรื่องของเศรษฐกิจ จังหวัด ผู้ประกอบการ และประชาชน จึงได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องให้มาร่วมประชุมกับคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้นำหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ สมาคมทางด้านธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ลงพื้นที่เพื่อให้ได้เห็นถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น และเร่งทำการฟื้นฟูให้กลับมามีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างรายได้และทำให้โอกาสต่างๆ กลับคืนจังหวัด และเร่งนำประชาชนกลับเข้าบ้านให้เร็วที่สุด
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 ได้นำนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และทีมงานด้านเศรษฐกิจ ลงพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ เพื่อสำรวจความเสียหาย และหารือกับผู้ประกอบการในพื้นที่ เพื่อวางแผนการฟื้นฟูเมืองหาดใหญ่ รวมถึงเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยภาคเอกชน ทั้งสภาอุตสาหกรรม และสภาหอการค้าจังหวัด ได้มีข้อเสนอที่อยากให้รัฐบาลช่วยสนับสนุน โดยให้นายเอกนิติ
รับข้อเสนอต่าง ๆ ของภาคเอกชน ไปเร่งจัดทำแนวทางการช่วยเหลือที่เหมาะสมโดยเร็วต่อไป
ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้เริ่มคลี่คลายในทางที่ดีขึ้นมาก น้ำลดลงแล้วเกือบ 100% โดยผู้ว่าราชการจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ยังดูแลฟื้นฟูสภาพเมืองทุกวัน แต่ยังมีอีกมากที่ต้องเร่งฟื้นฟูเยียวยา โดยจะใช้มติของที่ประชุม กนศ. เร่งดำเนินการเพื่อที่จะนำเสนอให้ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 2 ธันวาคม 2568 พร้อมขอเน้นย้ำถึงการช่วยเหลือฟื้นฟูจะต้องเร่งดำเนินการไปข้างหน้า ซึ่งไม่ได้มีแค่เพียงมิติเศรษฐกิจเท่านั้น แต่จะต้องเร่งดูแลทั้งการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน ถนน ไฟฟ้า ประปา อินเทอร์เน็ต ให้กลับมาเป็นปกติให้เร็วที่สุด และต้องคำนึงถึงเรื่องสุขภาพของผู้ประสบอุทกภัย ทั้งสุขภาพจิต สุขภาพกาย โดยขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้เร่งดำเนินการในเรื่องนี้ ให้ประชาชนที่ประสบภัยได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นๆ เช่น การปรับปรุงวิธีการเตือนภัยอย่างเร่งด่วน ซึ่งได้หารือกับ นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแล้ว จะได้ไปหาแนวทาง วิธีการ และหาแพลตฟอร์มในการยกระดับการเตือนภัยให้เร่งด่วนและมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเรื่องสำคัญในเบื้องต้นที่จะเร่งดูแลประชาชน คือ การจ่ายเงินเยียวยา ทั้งเยียวยาในรายครัวเรือนและของผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยนำเสนองบประมาณในการเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตและครอบครัวผู้ประสบภัยเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 2 ธันวาคม 2568
โดยที่ประชุมได้รับทราบมาตรการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ของกระทรวงการคลังและหน่วยงานอื่นๆ รวมทั้งเห็นชอบมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย และมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS “SME Spring Board by สสว.” และ มาตรการ “THAI SME-GP Plus” ซึ่งจะได้นำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
ภายหลังการประชุม นายเอกนิติ เปิดเผยว่า มาตรการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ครอบคลุมทั้งมาตรการด้านการเงิน ภาษี การประกันภัย การประกอบอาชีพ และการฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภค โดยยึดหลักความต้องการของประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว ภายใต้แนวคิด “Quick Big Recovery” มีรายละเอียด ดังนี้
ระยะที่ 1: การช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน เป็นการให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ได้แก่ (1) การจัดหาสิ่งของอุปโภคและบริโภคจำเป็นและขาดแคลน (2) การจัดหาที่พัก/ศูนย์พักพิง (3) การจัดหาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ไฟฟ้า ประปา อินเทอร์เน็ต เป็นต้น (4) การบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยการดำเนินมาตรการภาษีสนับสนุนการบริจาค และ (5) การเร่งรัดให้จ่ายเงินทดแทนกรณีว่างงาน
ระยะที่ 2 – 3: การเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและทรัพย์สิน ซึ่งเป็นการประคับประคองและบรรเทาภาระความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมถึงการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเพื่อการฟื้นฟูพื้นที่อย่างรอบด้าน เพื่อให้ภาคประชาชน ธุรกิจ และเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยมีการดำเนินการ ดังนี้
1. การลดภาระหนี้ สถาบันการเงินเฉพาะกิจดำเนินมาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา
12 เดือน โดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจจะยกเว้นการคิดดอกเบี้ยในช่วงเวลาการพักชำระหนี้ (คิดดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี) รายละไม่เกิน 1,000,000 บาท ต่อสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
2. การเก็บเงินไว้ในกระเป๋า/ส่งเงินให้ถึงมือ เช่น การให้สินเชื่อเพื่อเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ เป็นสินเชื่อเพิ่มเติมภายใต้วงเงินกู้เดิมกับธนาคาร (ลูกหนี้เดิม) รายละไม่เกิน 1 แสนบาท ปลอดดอกเบี้ย 12 เดือนแรก การให้สินเชื่อเพื่อฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย ปลอดดอกเบี้ย 12 เดือนแรก การสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางที่ได้รับความเสียหาย การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับเงินชดเชยที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บุคคลธรรมดาที่ประสบอุทกภัยตามจำนวนค่าเสียหายที่เกิดขึ้น การขยายเวลากำหนดเวลาการนำส่งเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 ในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติ เป็นต้น
3. การลดภาระค่าใช้จ่าย เช่น การยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับเครื่องจักรและชิ้นส่วนเพื่อทดแทนหรือซ่อมแซมความเสียหายจากอุทกภัย การยกเว้นการเก็บค่าเช่าที่ราชพัสดุเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้เช่าที่ราชพัสดุ
ที่ประสบอุทกภัย การงดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญาที่ทำจัดซื้อจัดจ้าง การลดค่าน้ำประปาในพื้นที่อุทกภัย
การเตรียมจัดงานธงฟ้าเยียวยาค่าครองชีพ โดยเน้นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำความสะอาดหลังน้ำลดและอุปโภคบริโภคจำเป็น เป็นต้น
4. ด้านอื่น ๆ เช่น รัฐวิสาหกิจตรวจสอบความปลอดภัยตามที่อยู่อาศัย สิ่งปลูกสร้างระบบท่อน้ำ ระบบไฟฟ้า รางรถไฟ เป็นต้น การอำนวยความสะดวกในการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด เป็นต้น พร้อมทั้งได้มอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาแนวทางที่เหมาะสมและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ และผู้ให้บริการทางการเงินอื่นๆ ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) ที่ประสบอุทกภัยได้รับความช่วยเหลือที่สอดคล้องกับแนวทางการให้ความช่วยเหลือของสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่อไป
ด้านนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า มาตรการในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ประกอบด้วยการช่วยเหลือ–เยียวยา–ฟื้นฟูผู้ประสบภัยภาคใต้ แบ่งเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1: ช่วยเหลือเร่งด่วน (ดำเนินการแล้ว) กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชนและมณฑลทหารบก
ที่ 42 จัดส่งสิ่งของจำเป็นเข้า 6 จังหวัดภาคใต้ ครอบคลุมสงขลา สตูล พัทลุง ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส
ระยะที่ 2: การเยียวยา (ธันวาคม 2568 – มกราคม 2569)
1. จัดงาน “เยียวยาลดค่าครองชีพ” และ “สร้างอาชีพ” ลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค อุปกรณ์ทำความสะอาด เครื่องใช้ไฟฟ้า และวัสดุก่อสร้าง เปิดจุดขาย Mobile Unit 3 จุด ครอบคลุมพื้นที่ที่เข้าถึงยาก จัดบูธแฟรนไชส์ พร้อมทุนสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และ SME D Bank และจัดบูธ ธนาคารให้คำปรึกษาการเข้าถึงสินเชื่อ
2. จัดแคมเปญลดราคาวัสดุก่อสร้างสูงสุด 80% ร่วมกับไทวัสดุ โฮมโปร ดูโฮม โกลบอลเฮ้าส์ เมกาโฮม รวม 40 สาขาในภาคใต้ เป็นเวลา 1 เดือน เพื่อช่วยลดภาระซ่อมแซมบ้านเรือน
ระยะที่ 3: การฟื้นฟูเศรษฐกิจ
– ส่งเสริมอาชีพผ่านแฟรนไชส์ราคาประหยัด
– เปิดจุดจำหน่ายสินค้าในพื้นที่ 20 ครั้ง และจัดงานแสดงสินค้าภาคใต้ 4 ครั้ง ในสงขลา กระบี่ ตรัง พัทลุง พร้อมไลฟ์สด การจับคู่ธุรกิจ และคลินิกสินเชื่อฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบ
– จัดงานสินค้าจังหวัดชายแดนใต้ในกรุงเทพฯ
– ฟื้นฟูผู้ประกอบการสินค้า GI ที่ได้รับผลกระทบ
– ประสาน EXIM Bank จัด Mobile Unit ลงพื้นที่ให้คำปรึกษาและช่วยเข้าถึงเงินทุนฟื้นฟูกิจการ
ขณะเดียวกันยังให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา และหน่วยงานต่างๆ ในกระทรวงพาณิชย์ เร่งอำนวยความสะดวกด้านเอกสารจดทะเบียนธุรกิจ การจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาและใบอนุญาตต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถฟื้นฟูกิจการได้โดยไม่ติดขัด ส่วนการลงพื้นที่ร่วมกับนายกรัฐมนตรี ได้รับฟังปัญหาจากผู้ประกอบการโดยตรง โดยมีข้อเสนอทั้งด้านซอฟต์โลน การผ่อนชำระหนี้ การลดหย่อนภาษี ตลอดจนการฟื้นฟูธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และกิจกรรม MICE ในพื้นที่
นอกจากนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เปิดการสัมมนาการมอบนโยบายและแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ได้กำหนดกรอบวงเงินงบประมาณไว้จำนวน 3.788 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปี 2569 เพียง 7,400 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.2 ในขณะที่ยังมีภาระค่าใช้จ่ายผูกพัน และรายจ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายจำนวนมาก ซึ่งการจัดทํางบประมาณนี้จะทําให้รัฐบาลสามารถขับเคลื่อนนโยบายสําคัญ แก้ไขปัญหาสําคัญให้กับประชาชน วางรากฐานให้กับประเทศ โดยยึดแนวทางจากแผนการคลังระยะปานกลางปี 2569-2573 ที่ต้องการการลดการขาดดุลของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับรัฐบาลในอนาคตและรักษาสัดส่วนหนี้สาธารณะให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสม อยู่บนหลักการรักษาวินัยการเงินการคลัง รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล ที่มุ่งเน้น 5 ด้านสำคัญ ได้แก่
1. ด้านเศรษฐกิจ มุ่งเน้นการกระตุ้นการใช้จ่าย การเร่งรัดการเบิกจ่ายภาครัฐ การลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการ กระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง และการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ OECD เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาคมโลก ดึงดูดการลงทุนต่างชาติ
2. ด้านความมั่นคง เน้นแก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธี ดำเนินนโยบายการต่างประเทศ
เชิงรุกพาประเทศไทยกลับสู่เวทีโลก
3. ด้านสังคม จัดการแก้ไขปัญหาการหลอกลวงทางเทคโนโลยี อาชญากรรมข้ามชาติ และยาเสพติด รวมทั้งป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
4. ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐบาลจะพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประสบภัยธรรมชาติ พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของทุกประเทศ โดยผลักดันให้ไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็น 0 ภายในปี 2593 ด้วยการดำเนินมาตรการ ลดการเผาในภาคการเกษตร สร้างความมั่นคงทางพลังงาน ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด พลังงานแสงอาทิตย์ และจัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ได้มาตรฐานสากล
5. ด้านการบริหารภาครัฐ ปฏิรูปกฎหมาย มุ่งสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล การให้บริการต่างๆ ต้องมีความสะดวก รวดเร็ว มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส อำนวยความสะดวกให้กับภาคเอกชนและประชาชน รวมทั้งปรับปรุง แก้ไข หรือยกเลิก กฎหมาย กฎระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ
นอกจากนี้รัฐบาลยังให้ความสำคัญการวางรากฐานของประเทศ ทั้งด้านการศึกษา ต้องพัฒนาศักยภาพของคนไทยได้ตลอดช่วงชีวิต ระบบสุขภาพ และโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคให้รองรับกับการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ให้เชื่อมโยงกันทั้งทางอากาศ ราง ถนน และทางน้ำ รวมถึงสนับสนุนพลังงานทดแทน ยกระดับความสามารถการแข่งขันและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง








