ไทยพร้อมปฏิบัติการทางทหาร ตอบโต้กัมพูชาจนกว่าจะยุติภัยคุกคาม เพื่อรักษาอธิปไตย และความปลอดภัยประชาชน

ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 สรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่จังหวัดสระแก้ว โดยกองกำลังบูรพา ปฏิบัติภารกิจปกป้องอธิปไตยในสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ในปัจจุบัน เป็นวันที่ 4 โดยมีการปฏิบัติที่สำคัญดังนี้

พื้นที่บ้านคลองแผง อำเภอตาพระยา อยู่ระหว่างดำเนินกลยุทธ์เพื่อยึดพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชายังระดมยิงเข้ามาในฝ่ายไทย ด้วยอาวุธยิง BM-21 ปืนใหญ่ และเครื่องยิงลูกระเบิดอย่างต่อเนื่อง

พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง สามารถยึดครองพื้นที่ได้ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2568 โดยวางกำลังตั้งรับตามแนวอ้างสิทธิ์ ซึ่งฝ่ายกัมพูชายังระดมยิงต่อฝ่ายเราด้วยอาวุธยิง BM-21 ประมาณ 40 นัด ปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิดอย่างต่อเนื่อง

พื้นที่บ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง อยู่ระหว่างดำเนินกลยุทธ์เพื่อยึดพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชายังระดมยิงต่อ ฝ่ายไทย ด้วยอาวุธยิง BM-21 ปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิดอย่างต่อเนื่อง

พื้นที่บ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ วางกำลังคุ้มครองพื้นที่ นอกจากนี้ สถานการณ์บริเวณด่านถาวรบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ ฝ่ายไทยได้เตรียมการเปิดด่านเพื่อรับคนไทยจากฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชากลับประเทศ นำเข้าสู่กระบวนการรับตัว และคัดกรองตามขั้นตอน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) พร้อมส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จะดำเนินการคัดแยกและตรวจสอบหลักฐานการเข้า-ออกประเทศตามกฎหมายต่อไป แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่ได้รับความร่วมมือจากฝ่ายกัมพูชา ในการปล่อยตัวคนไทยกลับเข้าประเทศ อยู่ระหว่างการเจรจาของทั้ง 2 ฝ่าย

พื้นที่อำเภอคลองหาด วางกำลังคุ้มครองพื้นที่

กองทัพภาคที่ 1 ขอยืนยันว่าจะยืนหยัดปฏิบัติงานตามภารกิจ อย่างเต็มกำลังความสามารถ ทั้งนี้ การปฏิบัติการทางทหารจะดำเนินการภายใต้กฎการปะทะและสิทธิในการป้องกันตนเอง จนกว่าภัยคุกคามในพื้นที่ชายแดน จังหวัดสระแก้วจะยุติเพื่ออธิปไตยของไทยและความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ

ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ตามที่เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 กัมพูชาได้ยิงใส่ชุดลาดตระเวนของทหารไทยในพื้นที่ภูผาเหล็ก อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นเหตุให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย และได้เริ่มเปิดฉากการยิงด้วยปืนใหญ่และจรวดหลายลำกล้อง (BM-21) เข้ามายังพื้นที่ดินแดนไทยตลอดแนวชายแดน ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ทำให้บ้านเรือนของประชาชน พื้นที่การเกษตร และสถานพยาบาลในพื้นที่ได้รับความเสียหายอย่างมาก

ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ได้เร่งอพยพประชาชนเข้าพื้นที่ปลอดภัย ณ ศูนย์พักพิงประจำจังหวัดที่ได้จัดเตรียมไว้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน หลังจากนั้นฝ่ายไทยจึงได้ยิงตอบโต้ตามกฎการใช้กำลังอย่างได้สัดส่วนไปยังพื้นที่ที่เกิดภัยคุกคาม ด้วยอาวุธวิถีตรงและวิถีโค้งต่อฝ่ายกัมพูชา เพื่อสกัดกั้น ยับยั้งและทำลาย อันตรายที่สร้างความเสียหายให้กับประชาชนในพื้นที่ ประกอบด้วยพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน 13 แนวรบ ดังนี้

จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 2 แนวรบหลัก ได้แก่ 1. พื้นที่ช่องบก และ 2. พื้นที่ช่องอานม้า

จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 5 แนวรบหลัก ได้แก่ 1. พื้นที่ซำแต 2. โดนตรวล-ภูผี-สัตตะโสม-พนมประสิทธิโส-ช่องตาเฒ่า 3. ผามออีแดง และห้วยตามาเรีย 4. ภูมะเขือ-ช่องโดนเอาว์-พลาญยาว-พลาญหินแปดก้อน และ 5 ช่องสะงำ

จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 5 แนวรบหลัก ได้แก่ 1. ช่องจอม-ช่องเปรอ-ช่องระยี 2. พื้นที่คนา 3. พื้นที่ตาควาย 4. พื้นที่ช่องกร่าง และ 5. พื้นที่ตาเมือนธม

จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 1 แนวรบหลัก ได้แก่ ช่องสายตะกู 

ผลการปฏิบัติที่สำคัญในวันที่ 11 ธันวาคม 2568

          1. ช่องอานม้า เข้าควบคุมพื้นที่ได้บางส่วน

          2. เข้าทำลายฐานปฏิบัติการข้าศึก บริเวณพื้นที่ซำแต

          3. พื้นที่ช่องระยี – ช่องเปรอ เข้ายึดพื้นที่คืนถึงเส้นปฏิบัติการ แต่ยังถูกต่อต้านเป็นระยะ

          4. พื้นที่คนา เข้ายึดแล้ว 2 ที่หมาย ปัจจุบันถูกตีโต้ตอบจากฝ่ายตรงข้าม

          5. พื้นที่ตาควาย ยิงทำลายฐานทหารรอบปราสาท และเนิน 350 แต่ยังเข้าควบคุมไม่ได้ เนื่องจากถูกต่อต้านอย่างหนักจากอาวุธยิงสนับสนุน โดรน และกับระเบิดของฝ่ายกัมพูชาอย่างหนาแน่น ทั้งนี้จากการปฏิบัติของฝ่ายไทย ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมาคาดว่า ทหารกัมพูชา เสียชีวิต 125 ราย ทำลายรถถัง T-55 จำนวน 6 คัน (ในพื้นที่พนมประสิทธิโส) ทำลายจรวดหลายลำกล้อง (BM-21) จำนวน 1 คัน ทำลายระบบโดรน จำนวน 64 ลำ และทำลายแอนตี้โดรน 1 ระบบ ในพื้นที่ห้วยตามาเรีย

กองทัพภาคที่ 2 จะดำเนินการทุกมาตรการเพื่อความมั่นคงปลอดภัย และรักษาอธิปไตยของประเทศอย่างเต็มกำลัง

ขณะที่ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา สรุปสถานการณ์และการดำเนินการของฝ่ายไทย โดยวันที่ 11 ธันวาคม 2568 เวลา 04.35 น. ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงโจมตีด้วยอาวุธหนักเข้ามาในเขตไทยใน 4 พื้นที่หลัก ได้แก่ ช่องบก ช่องอานม้า ตาควาย และตาเมือน โดยมีกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายกัมพูชาตกใส่บ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ จนทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน เพื่อรักษาอธิปไตยและปกป้องเขตแดนของประเทศไทย เมื่อเวลา 12.00 น. กองทัพภาคที่ 2 จึงได้ดำเนินการผลักดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ช่องระยี-ปลดต่าง จังหวัดสุรินทร์

สรุปผลกระทบจากสถานการณ์ การโจมตีจากกองกำลังกัมพูชาส่งผลให้มีการจัดตั้ง ศูนย์พักพิงชั่วคราว จำนวน 934 แห่ง โดยมีประชาชนพำนักภายในศูนย์ฯ จำนวน 258,617 คน และมีประชาชนเสียชีวิต จำนวน 4 ราย นอกจากนี้ ยังมีโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 19 แห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ได้รับผลกระทบอีก จำนวน 180 แห่ง

พันเอก ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า สถานการณ์จะยืดเยื้อหรือไม่ ขึ้นอยู่กับทางกัมพูชาในเมื่อกัมพูชายังโจมตีเข้ามา สิ่งที่กองทัพไทยทำในปัจจุบันคือต้องยับยั้งให้การโจมตีนั้นหมดสิ้นไปด้วยวิธีต่างๆ

พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ กล่าวว่า ไทยเพิ่มความเข้มข้นปฏิบัติการต่อเนื่องกองทัพอากาศลิดรอนขีดความสามารถฝ่ายตรงข้ามจนกว่าจะยุติการคุกคามเอกราช อธิปไตย และความปลอดภัยประชาชน

นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า คนไทยที่ต้องออกจากกัมพูชา ติดต่อสถานทูตหรือกงสุลได้ทันทีไม่ต้องกังวลเอกสารไม่ครบ สถานทูตออกเอกสารเดินทางฉุกเฉินให้ได้

พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ในส่วนของการเตรียมความพร้อมรับคนไทยกลับ โดยเฉพาะจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีความพร้อม 100% ที่จะรับคนไทยกลับ โดยกระบวนการหลังจากส่งตัวกลับไทยมาแล้ว ต้องเข้าสู่การคัดครองด้วยระบบ NRM ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในเรื่องการเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ จากนั้นจะมีการตรวจสอบข้อมูลหมายจับ ถ้ามีจะต้องมีการจับกุมดำเนินคดีทุกราย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง