นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงกลาโหม และกระทรวงมหาดไทย ดำเนินการเบิกจ่ายเงินเยียวยาในทุกกรณีให้กับครอบครัวของกำลังพลที่เสียชีวิต บาดเจ็บ รวมทั้งการจ่ายเงินเยียวยาให้กับประชาชนที่อพยพมาอยู่ที่ศูนย์พักพิง เนื่องจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชาที่ยังต้องมีการปฏิบัติการทางทหารอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีกำลังพลเสียชีวิตและบาดเจ็บ ในขณะที่ประชาชนยังคงต้องอพยพและอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิง ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้อนุมัติหลักเกณฑ์และงบประมาณในการเยียวยาผู้เสียชีวิต ทุพพลภาพ บาดเจ็บ รวมทั้งการเยียวยาให้กับประชาชนที่ต้องอพยพออกจากที่อยู่อาศัย และควรใช้โอกาสนี้รวบรวมข้อมูลที่ต้องใช้จากประชาชนที่มารวมกันที่ศูนย์พักพิงเพื่อทำเรื่องเบิกจ่ายไว้ได้เลย ไม่ให้เสียเวลาและลดขั้นตอน เนื่องจากมีงบประมาณอยู่แล้ว และเมื่อตรวจสอบเรียบร้อย ก็สามารถโอนได้ทันที และหากงบประมาณไม่เพียงพอ ทั้งกระทรวงกลาโหม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) สามารถทำเรื่องขอเพิ่มได้ เพื่อไม่ให้เสียเวลา เนื่องจากต้องขออนุมัติจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้วย
นายกรัฐมนตรี ยังได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) ร่วมกับกระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาว่าจะสามารถปรับระเบียบต่างๆ ให้มีความยืดหยุ่น เพื่อบรรจุทายาทของกำลังพลที่เสียชีวิตให้เข้าทำงานราชการ เนื่องจากที่ผ่านมามีข้อจำกัดเกี่ยวกับการบรรจุตำแหน่งของกองทัพบก ซึ่งบางทีไม่ตรงตามวุฒิ หรือไม่อยู่ในภูมิลำเนาตามที่กำหนด ให้สามารถบรรจุทายาทเข้าเป็นข้าราชการทดแทนทหารที่เสียสละเพื่อชาติ โดยสามารถบรรจุในงานที่ตรงตามวุฒิ และอยู่ในพื้นที่ภูมิลำเนาเดิม
อีกทั้ง คณะรัฐมนตรี ยังมีมติเห็นชอบอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติม จำนวน 467,128 ครัวเรือน วงเงิน 2,335,640,000 บาท เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ปี 2568 เพื่อเป็นค่าเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสิน และให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งให้สามารถถัวจ่ายข้ามจังหวัดได้ รวมทั้งอนุมัติระยะเวลาการจ่ายเงินช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 โดยให้จ่ายเงินช่วยเหลือให้แล้วเสร็จ ภายใน 30 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม
ทั้งนี้ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ปี 2568 ตามที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เสนอ ในพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด ดังนี้
1. กรณีอพยพตั้งแต่ 8 วันขึ้นไป ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 5,000 บาท
2. กรณีอพยพไม่เกิน 7 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 2,000 บาท
เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยมีความทั่วถึงอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกพื้นที่ กระทรวงมหาดไทยจึงได้ทบทวนหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงิน ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ปี 2568 เพื่อเป็นค่าเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน ดังนี้
จากเดิม กำหนดเงื่อนไขการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ปี 2568 เพื่อเป็นค่าเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน โดยจะต้องเป็นประชาชนผู้ที่อาศัยประจำในพื้นที่ที่ได้ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน อพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว หรือพื้นที่ปลอดภัย ต้องมีหนังสือรับรองผู้ประสบภัยที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกให้ (ตาม พ.ร.บ.ปภ. 2550 ม. 30) ต้องผ่านการประชาคมหมู่บ้านของแต่ละพื้นที่ประสบสาธารณภัย และผ่านการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลจากคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) และคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) กรณีที่ผู้ประสบภัยต้องอพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวหรือพื้นที่ปลอดภัยหลายครั้งให้ได้รับความช่วยเหลือเพียงครั้งเดียว ซึ่งขอทบทวนเป็น ผู้ประสบภัยดังกล่าวจะต้องได้รับการรับรองว่าเป็นผู้ประสบภัยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จากผู้นำชุมชน หรือผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนัน คนใดคนหนึ่งเป็นผู้รับรอง
(ไม่ต้องผ่านการทำประชาคมหมู่บ้าน)
ทั้งนี้ ให้จังหวัดที่ประสบภัยเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องตามหลักเกณฑ์และช่วยเหลือให้แล้วเสร็จ ภายใน 30 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อให้ครัวเรือนผู้ประสบภัยตามข้อมูลที่จังหวัดยืนยันข้อมูลครัวเรือนเบื้องต้นที่ได้รับผลกระทบจากภัยดังกล่าว จำนวน 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด ได้รับการเยียวยาความเดือดร้อนในเบื้องต้นและเพื่อให้การดำรงชีพของประชาชนเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรี ยังมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการใช้เงินเยียวยาที่เหลือจากกรอบวงเงินตามหลักเกณฑ์ให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา เพื่อให้สามารถจ่ายให้กับผู้ได้รับผลกระทบ จากเดิม คือ วันที่ 16 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2568 เป็น ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จนกว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
2. เห็นชอบให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องสามารถขอเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อเยียวยาประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 โดยให้กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นหน่วยรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับผลกระทบ และให้กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาประชาชน
3. เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรวบรวมกรอบวงเงินที่ต้องการได้รับการจัดสรรสำหรับเยียวยา
ผู้ได้รับผลกระทบ เพิ่มเติม เสนอให้ สมช. ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 เรื่องขอความเห็นชอบมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์ให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ หากมีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มเติม ให้หน่วยงานขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งได้เห็นชอบกรอบอัตราเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว โดยมีหลักเกณฑ์ ดังนี้
– เจ้าหน้าที่รัฐ (เช่น ทหาร ทหารพราน ตำรวจ ตำรวจตระเวนชายแดน) เสียชีวิตและทุพพลภาพ รายละ10,000,000 บาท บาดเจ็บสาหัส (เข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลและนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเกิน 20 วัน) รายละ 1,000,000 บาท บาดเจ็บมาก (เข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลและนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลตั้งแต่ 2 วันแต่ไม่เกิน 20 วัน) รายละ 500,000 บาท
– ประชาชน เสียชีวิตและทุพพลภาพ รายละ 8,000,000 บาท บาดเจ็บสาหัส รายละ 800,000 บาท บาดเจ็บมาก รายละ 400,000 บาท
และเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ (วันที่ 16 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2568) จำนวน 404,600,000 บาท
โดยให้กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นหน่วยรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับผลกระทบ และให้กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ตามตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2568 ยังคงมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดเป็นระยะ นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ได้เกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาในพื้นที่บริเวณฐานภูผาเหล็ก พลาญหินแปดก้อน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ จากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย – กัมพูชา มีความรุนแรงขึ้น และเกิดการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันได้ปรากฏการขยายพื้นที่แนวการสู้รบออกไปในวงกว้าง ครอบคลุมทั่วทั้งพื้นที่ 7 จังหวัดตลอดแนวชายแดนไทย – กัมพูชา และส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 23 นาย และประชาชนเสียชีวิตจากการปะทะ จำนวน 1 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2568) ดังนั้น สมช. จึงประเมินว่าสถานการณ์ความขัดแย้งและการปะทะตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา ยังคงมีความรุนแรงและมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อบานปลายจนส่งผลกระทบในวงกว้างและอาจเพิ่มระดับความรุนแรงด้วยอาวุธสนับสนุน อาทิ ปืนใหญ่ ปืน ค. เครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง (BM – 21) หรือการใช้อาวุธที่มีศักยภาพสูงขึ้น อาทิ เครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง PHL- 03 นอกจากนี้ ยังมีข้อห่วงกังวลกรณีการเสริมสร้างขีดความสามารถทางด้านยุทโธปกรณ์อย่างต่อเนื่องและโดรนพลีชีพของกัมพูชา
ทำให้เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 ได้จัดการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ 16/2568 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์ไทย – กัมพูชา และการเยียวยาผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา โดยมีมติมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เร่งรัดเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งจากประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐตามหลักเกณฑ์ให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา และกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี โดยหากมีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มเติม ให้หน่วยงานขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมตามขั้นตอนต่อไป
การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว จะช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการตามกระบวนการเยียวยาต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล ส่วนค่าใช้จ่ายให้ใช้จากงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. 2559 และกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับบริจาคและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังเห็นชอบสนับสนุนงบกลาง สำหรับกองทัพบก ในการจัดหายุทธภัณฑ์เพิ่มเติม เพื่อเสริมศักยภาพของกำลังพล อีก 206 ล้านบาท และเห็นชอบงบกลาง เพื่อสนับสนุนกระทรวงกลาโหม ผ่านกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ เพิ่มอีก 5,050 ล้านบาท เพื่อปกป้องอธิปไตย








