ไทย-กัมพูชา ประชุม GBC ต่อเนื่อง ไทยย้ำต้องพิสูจน์ความจริงใจตาม 3 เงื่อนไข กัมพูชาหยุดยิงก่อน ยุติใช้กำลังต่อเนื่อง ร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิด

การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา ในวันที่ 24 ธันวาคม 2568 เป็นการประชุมระดับเลขาธิการ เริ่มประชุมเมื่อเวลา 16.30 น. ที่ด่านผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด จังหวัดจันทบุรี เป็นไปตามขั้นตอนและพิธีการที่กำหนด โดยฝ่ายกัมพูชาได้รอให้ฝ่ายไทยเดินไปยังบริเวณกลางสะพาน ก่อนที่คณะฝ่ายกัมพูชาจะเดินทางเข้ามาพบและเข้าสู่พื้นที่ประชุม ภายหลังการหารือ พลเอก ณัฐพงษ์ เพราแก้ว รองเสนาธิการทหาร กล่าวว่า เป็นการพบปะหารือกันในวันแรกซึ่งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเชื่อว่าเป็นสัญญาณที่ดีโดยมีการพูดคุยถึง วาระการประชุม รวมถึงประเด็นที่จะใช้พูดคุยกันทั้ง 2 ฝ่ายในวันต่อไป โดยฝ่ายไทยนั้นได้แสดงจุดยืนทั้ง 3 ข้อ ได้แก่ กัมพูชาต้องประกาศหยุดยิงก่อน การยุติการใช้กำลังอย่างต่อเนื่อง และความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนฝ่ายกัมพูชาได้มีการชี้แจง ขณะที่ทั้ง 2 ฝ่าย กำหนดพบกันอีกครั้ง วันที่ 25 ธันวาคม 2568 เวลา 09.00 น. ที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด ตำบลคลองใหญ่  อำเภอโป่งน้ำร้อน  จังหวัดจันทบุรี ทั้งนี้คณะเลขานุการ GBC ฝ่ายกัมพูชาที่เดินทางมาในครั้งนี้เป็นชุดที่เคยได้พบปะและพูดคุยกันในการประชุม GBC ในหลายครั้งที่ผ่านมา

ต่อมาในเวลา 19.00–21.00 น. ฝ่ายเลขาฯ การประชุม GBC ของฝ่ายไทยได้จัดการประชุม เพื่อเตรียมการจัดทำร่างข้อตกลงสำหรับการเจรจาระหว่างราชอาณาจักรไทย และราชอาณาจักรกัมพูชา ภายใต้กรอบ และกลไกการประชุม GBC โดยมุ่งเน้นการรวบรวมข้อมูล ข้อพิจารณา และสาระสำคัญตามกรอบ ท่าที และจุดยืนของประเทศไทย เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรอบคอบ มีเอกภาพ และสอดคล้องกับแนวนโยบายที่กำหนดไว้ การประชุมดังกล่าว เป็นการเตรียมความพร้อมเชิงกระบวนการ และเนื้อหา เพื่อจัดทำร่างข้อตกลงเบื้องต้นของฝ่ายไทย สำหรับส่งให้ฝ่ายกัมพูชานำไปพิจารณาล่วงหน้า ก่อนการประชุมร่วมอย่างเป็นทางการภายใต้กรอบการประชุม GBC ในวันที่สองของการประชุม ในวันที่ 25 ธันวาคม 2568 เวลา 09.00 น.

การประชุม GBC จะใช้เวลาประชุม 4 วัน หากการประชุมระหว่างวันที่ 24 – 26 ธันวาคม 2568 เป็นไปอย่างราบรื่น ทั้ง 2 ฝ่ายบรรลุข้อตกลงที่ชัดเจน ในช่วงเช้าของวันที่ 27 ธันวาคม 2568 จะเป็นการประชุมระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้ง 2 ประเทศ

ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้เข้าสู่ช่วงที่ไทยริเริ่มการเจรจากับฝ่ายกัมพูชาในกรอบ GBC ไทย-กัมพูชา เพื่อนำไปสู่การหยุดยิง เป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการชี้แจงต่อประชาคมระหว่างประเทศ ถึงจุดยืนและแนวทางของไทย โดยเฉพาะจากการที่ไทยได้รับบทเรียนในการปะทะกับกัมพูชาเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จนถึงครั้งนี้ทำให้ไทยต้องการเห็นความจริงใจจากฝ่ายกัมพูชาอย่างยิ่งยวด เพื่อให้ข้อตกลงหยุดยิงที่จะเกิดขึ้น มีความยั่งยืนและสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้ โดยนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังได้เป็นประธานการประชุมทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ กับเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงพัฒนาการของสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ปัจจุบัน และมอบนโยบายให้กับผู้แทนไทย
เพื่อไปชี้แจงท่าทีดังกล่าวกับมิตรประเทศ รวมทั้งเป็นการติดตามความคืบหน้าของขั้นตอนดำเนินการต่างๆ ที่กระทรวงการต่างประเทศได้ส่งหลักฐานไปยังองค์การระหว่างประเทศต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศของฝ่ายกัมพูชา โดยเฉพาะในเรื่องการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ยังคงพบหลักฐานการใช้ทุ่นระเบิดของฝ่ายกัมพูชาอยู่ในขณะนี้ ไทยคาดหวังว่าประเทศแซมเบีย ในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 23 จะดำเนินการตามที่ไทยร้องเรียน ซึ่งในขณะนี้ ท่าทีของแซมเบียต่อไทยในประเด็นดังกล่าวเป็นไปด้วยดี รวมทั้งไทยจะดำเนินการเรื่องการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของฝ่ายกัมพูชา ในกรอบกฎหมายสากลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย

นอกจากนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพ จ่าสิบเอก สำเริง คลังประโคน สังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23 ที่พลีชีพจากการปะทะกันบริเวณเนิน 350 ใกล้กับปราสาทตาควาย อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ โดยประกอบพิธีที่วัดห้วยปอ อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องเกียรติยศประกอบศพ หีบเชิงชาย พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ในการพิธีศพโดยตลอด พระราชทานผ้าไตร และภัตตาหารสามหาบในการเก็บอัฐิแก่ศพทหารกล้า

จากนั้นนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพ พลทหาร ภานุพัฒน์ เสาร์สา สังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23 ที่พลีชีพจากการปะทะกันบริเวณเนิน 350 ณ วัดกลาง ขุขันธ์ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีประชาชนในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ร่วมพิธี และเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวเสาร์สาเป็นจำนวนมาก

ขณะที่สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่ที่ยังคงมีการปะทะอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 2 จุดหลัก ๆ คือ บริเวณบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว และที่ผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ โดยวันที่ 24 ธันวาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชา ยังคงระดมยิงจรวด BM-21 กว่า 80 ลูก เข้าใส่พื้นที่อำเภอตาพระยา และบริเวณบ้านคลองแผง จังหวัดสระแก้ว หลังจากที่ถูกฝ่ายไทย ผลักดันออกจากพื้นที่ ปฏิบัติการทางทหารที่เกิดขึ้นเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชายังคงระดมโจมตีฝ่ายไทยด้วยอาวุธหนัก แม้กระทั่งในช่วงที่ทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ระหว่างริเริ่มจัดการประชุม GBC ไทย-กัมพูชา เพื่อหารือแนวทางในการลดความตึงเครียดและวางมาตรการไปสู่สันติภาพ และสะท้อนว่าฝ่ายกัมพูชามีความจริงใจในการร่วมแก้ไขปัญหาความขัดแย้งกับไทยมากน้อยเพียงใด และทำให้ฝ่ายไทยยังคงต้องป้องกันตนเองด้วยการโจมตีโต้ตอบ เพื่อยุติการโจมตีดังกล่าว ตามหลักการสากล

พันเอก ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังคงเกิดการปะทะกันอย่างหนักในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 และมีรายงานว่า ไทยสามารถควบคุมพื้นที่บ้านคลองแผง อำเภอตาพระยา และบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ได้แล้ว ส่วนในพื้นที่บ้านหนองจาน ปัจจุบันสามารถควบคุมได้บางส่วน แต่ยังคงมีการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ขณะที่พื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ไทยสามารถควบคุมพื้นที่ได้เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน แต่ยังคงมีการยิงปะทะอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ภูมะเขือ และห้วยตามาเรีย ทั้งนี้ ในพื้นที่ที่ไทยสามารถสถาปนาความมั่นคงได้ เช่น บริเวณเนิน 350 และปราสาทตาควาย พบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 และทุ่นระเบิดดักรถถังที่นำมาดัดแปลงเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งหลักฐานเหล่านี้กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงเป็นหลักฐานสำคัญว่ามีการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา จากฝ่ายกัมพูชาอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ผลกระทบต่อประชาชนไทยในขณะนี้ มีผู้ที่อพยพมาอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวทั้งสิ้น 150,529 คน ศูนย์พักพิง 779 จุด ประชาชนเสียชีวิตจากการโจมตีของกัมพูชาโดยตรง 1 ราย ประชาชนที่เสียชีวิตจากผลกระทบทางอ้อม 41 ราย และมีประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของกัมพูชา 13 ราย โรงพยาบาลได้รับผลกระทบ 18 แห่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลได้รับผลกระทบ 240 แห่ง

สำหรับการดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบ นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า กระทรวง พม. ได้ระดมทีม พม.ใกล้คุณ ลงพื้นที่จังหวัดชายแดน ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด เพื่อดูแลช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันแรก ล่าสุด ทีม พม.ใกล้คุณ จังหวัดสระแก้ว ได้เข้าช่วยเหลือในศูนย์พักพิงชั่วคราว บูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ดูแลเยียวยาสภาพจิตใจ จัดกิจกรรมคลายเครียดสำหรับทุกช่วงวัย มอบสิ่งของจำเป็น พร้อมคัดกรองและเก็บข้อมูลกลุ่มเปราะบางเข้าสู่ระบบในระบบสมุดพกครอบครัวอิเล็กทรอนิกส์ (MSO-LOGBOOK) และ พม. Smart เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือด้านสิทธิสวัสดิการและเงินสงเคราะห์อย่างตรงจุด รวมถึงถอดบทเรียนการบริหารจัดการศูนย์พักพิงเพื่อรองรับสถานการณ์ในอนาคต
ส่วนจังหวัดศรีสะเกษ ทีม พม.ใกล้คุณ ได้ผนึกกำลังจังหวัดใกล้เคียง ลงพื้นที่ศูนย์พักพิงใน 5 อำเภอ ให้การเยียวยาจิตใจ สร้างขวัญกำลังใจ มอบเครื่องอุปโภคบริโภค ให้คำปรึกษาด้านสิทธิสวัสดิการ และจัดกิจกรรมบรรเทาความเครียด ขณะที่จังหวัดสุรินทร์ ทีม พม.ใกล้คุณ ร่วมกับจังหวัดเครือข่าย ปฏิบัติการเชิงรุกในศูนย์พักพิงหลัก 3 แห่ง ฟื้นฟูสภาพจิตใจประชาชนทุกช่วงวัย จัดกิจกรรมสร้างความสนุกสนานและผ่อนคลาย และย้ำว่า กระทรวงพร้อมเดินหน้าดูแลกลุ่มเปราะบางอย่างใกล้ชิด ใช้ฐานข้อมูลดิจิทัลเป็นเครื่องมือหลัก เพื่อให้การช่วยเหลือรวดเร็ว และครอบคลุม 

ด้าน นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา มีประชาชน 59,854 คน ใน 6 ตำบล 86 หมู่บ้าน จำเป็นต้องอพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว โดยมีอาสาสมัครชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ปักหลักอยู่ในพื้นที่เพื่อดูแลทรัพย์สินและความเรียบร้อยของชุมชน ซึ่งเป็นภารกิจที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยง ความกังวลและแรงกดดัน ตลอด 24 ชั่วโมง ส่งผลให้อาสาสมัครจำนวนมากเกิดภาวะเครียด โรงพยาบาลกาบเชิงจึงได้จัดระบบบริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) เพื่อดูแล ชรบ.ที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ในแนวหน้า โดย นพ.กฤษพงษ์ สุบันนารถ แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลกาบเชิง ทำหน้าที่เป็น “แพทย์ประจำตัว” ดูแลทั้งร่างกายและจิตใจให้กับอาสาสมัครหลายพันคนที่อยู่ท่ามกลางพื้นที่อันตรายอย่างต่อเนื่อง โดยอาสาสมัครที่มีอาการเจ็บป่วยหรือมีปัญหาสุขภาพระหว่างปฏิบัติหน้าที่สามารถสแกน QR Codeพบแพทย์ผ่าน Telemedicine ได้ทันที เพื่อพูดคุย ปรึกษา และรับคำแนะนำ กรณีมีความจำเป็นต้องได้รับยา โรงพยาบาลมีระบบส่งยาให้ถึงมืออาสาสมัครโดยไม่ต้องเสี่ยงเดินทางออกจากพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีสายตรงแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวที่เปิดให้ปรึกษาได้ทุกวันในเวลาราชการ สร้างความอุ่นใจให้กับอาสาสมัครผู้เสียสละว่าไม่ได้อยู่ลำพังในพื้นที่เสี่ยงภัย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง