เมื่อ 26 พ.ย.63 พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.ในฐานะประธานกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย/หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้เข้าร่วมการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ครั้งที่ 27 และการประชุมร่วมระหว่าง คณะมนตรี กับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 25 ผ่านระบบทางไกล ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ

การประชุมในวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือและกำหนดนโยบายความร่วมมือในการบริหารองค์กร ของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และกำหนดแนวทางความร่วมมือ กับประเทศหุ้นส่วนการพัฒนาโดยมีหัวหน้าคณะจากประเทศสมาชิก ได้แก่ รมว.ทส.สปป.ลาว ,รมว.ทส.เวียดนาม ,รมว.กระทรวงทรัพยากรน้ำและอุตุนิยมวิทยา กัมพูชา และ คณะผู้แทนฝ่ายไทยประกอบด้วย นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้แทนไทยสำรองในMRC ,ผู้แทนกรมเจ้าท่า ,กรมทรัพยากรน้ำ เข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบ แผนยศ.การพัฒนาลุ่มน้ำโขง10ปี (ปี64-68) และแผนยศ.องค์กรคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงระยะ5ปี(ปี64-68) ,แผนดำเนินงานของMRC(ปี64-65) ,แผนยศ.การจัดการสินทรัพย์ด้านสิ่งแวดล้อมลุ่มน้ำโขง(ปี64-68) และแผนแม่บทการคมนาคมขนส่งทางน้ำ

พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวถ้อยแถลงต่อผู้เข้าร่วมประชุม MRC ประเทศคู่เจรจา หุ้นส่วนการพัฒนาและองค์กรระหว่างประเทศ ว่าวันนี้ สิ่งที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ได้แก่ความร่วมมือในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกัน บนหลักการเจรจา และฉันทามติภายใต้คำขวัญ “One Mekong One Spirit” ผ่านผู้แทนประเทศ ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการร่วม ทั้งนี้ประเทศไทยพร้อม สนับสนุนการรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ การดูแลประชาชนในภูมิภาค และสิ่งแวดล้อมให้มีความปลอดภัย และเชื่อมั่นว่าการบูรณาการและการส่งเสริมความร่วมมือ เชิงสร้างสรรค์ในทุกระดับ ทั้งภายในและภายนอกภูมิภาค จะเป็นโอกาสให้ MRC เป็นแกนกลางเชื่อมโยงประชากร สายน้ำ และวัฒนธรรม ที่จะผลักดันให้แม่น้ำโขง เป็นแม่น้ำแห่งมิตรภาพ และสันติภาพ ได้อย่างยั่งยืน
พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงความจริงใจของไทย ต่อประเทศสมาชิก ที่จะร่วม เสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วน เพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน และเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของลุ่มน้ำโขง รวมทั้งขอสนับสนุนให้เกิดการแบ่งปันประโยชน์เพื่อประชาชนของประเทศสมาชิก และการเข้าถึงน้ำสะอาด อย่างทั่วถึง เป็นธรรม ร่วมให้ความสำคัญต่อการลดผลกระทบข้ามพรมแดน โดยใช้หลักธรรมาภิบาล เป็นแนวทางในการบริหารจัดการผ่านกลไกการเจรจา บนหลักการภายใต้สายน้ำเดียวกัน สายน้ำแห่งความเจริญรุ่งเรือง สายน้ำแห่งมิตรภาพ/สันติภาพ และเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง