“กองทัพบก-พลังงาน” แจงโครงการไฟฟ้าโซลาร์เซลล์อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลเพื่อผลิตไฟฟ้าให้เกิดประโยชน์แก่ชาติและประชาชน ไม่มีนโยบายเชิงพาณิชย์ ย้ำทำตามกฎหมายทุกขั้นตอน

จากกรณีที่อดีตรัฐมนตรีว่าการการะทรวงพลังงาน นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ตั้งข้อสงสัยว่าโครงงานผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ของกองทัพบกเป็นการดำเนินการที่ผิดกฎหมาย ไม่สอดคล้องกับตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของไทย และ อยู่นอกเหนือภารกิจของกองทัพบก

พลโท สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก ชี้แจงว่า โครงการที่ใช้พื้นที่ทหารเพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เริ่มจากเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 กองทัพบกได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนิน “โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือก” ตามแนวความคิดในการจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกด้วยแสงอาทิตย์ หรือ โซล่าฟาร์ม โดยใช้พื้นที่ราชพัสดุที่อยู่ในการดูแลของกองทัพบกผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดลดมลภาวะรักษาสิ่งแวดล้อม การศึกษาความเป็นไปได้ดังกล่าวเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ที่ต้องการสนับสนุนการสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ โดยใช้ทรัพยากรในการดูแลของกองทัพบก ช่วยลดต้นทุนในการผลิตกระแสไฟฟ้า สอดคล้องกับนโยบายในการนำที่ดินราชพัสดุในการดูแลของกองทัพบกไปสร้างประโยชน์กับทางราชการและประชาชนส่วนรวมอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

ทั้งนี้ หลังจากได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงแล้ว กองทัพบกและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ทำงานร่วมกัน และขณะนี้อยู่ในขั้นรวบรวมข้อมูล ศึกษาความเป็นไปได้ด้านพื้นที่ พิจารณาแนวทางดำเนินการ และศึกษาข้อกฎหมายและระเบียบของทางราชการที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ มีกรอบระยะเวลาประมาณ 2 ปี หากผลการศึกษาความเป็นไปได้ออกมาในรูปแบบใด กองทัพบกและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจะได้ร่วมกันพิจารณาดำเนินการต่อไป

ดังนั้น ขอเรียนย้ำว่าโครงการฯ ดังกล่าว ยังอยู่ในช่วงของการศึกษาความเป็นไปได้เท่านั้น ทั้งนี้ หากกองทัพบกและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเห็นชอบร่วมกัน ว่าโครงการฯมีความเป็นไปได้ กองทัพบกจะได้ดำเนินการส่งมอบพื้นที่ราชพัสดุในความครอบครองและใช้ประโยชน์ของกองทัพบกดังกล่าวให้กับกรมธนารักษ์ เพื่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดำเนินการขอเช่าพื้นที่กับกรมธนารักษ์ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

จึงขอยืนยันว่า กองทัพบกไม่ได้มีนโยบายที่จะดำเนินโครงการฯ ในเชิงพาณิชย์ แต่มุ่งหวังเพื่อต้องการให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมและเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน อันจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ หากจะมีการดำเนินการใด ๆ ต่อโครงการนี้ จะต้องอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นไปตามเจตนารมณ์ในการใช้ที่ดินราชพัสดุ เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นสำคัญ

ขณะที่ นายสมภพ พัฒนอริยางกูล โฆษกกระทรวงพลังงาน ชี้แจงในประเด็นเดียวกันว่า โครงการดังกล่าว เป็นโครงการที่กองทัพบก และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้มีการทำ MOU เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการและผลกระทบต่างๆรอบด้าน ซึ่งการศึกษายังไม่แล้วเสร็จ อีกทั้งการก่อสร้างโรงไฟฟ้าหรือการผลิตไฟฟ้าในรูปแบบใดๆ ที่จะมีการขายเข้าระบบไฟฟ้านั้น จำเป็นจะต้องถูกบรรจุอยู่ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย หรือ PDP ซึ่งเป็นแผนที่จะมีหลายหน่วยงานเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการในการจัดทำ โดยมีหลักการสำคัญคือ การจัดหาเพื่อให้มีไฟฟ้าใช้อย่างทั่วถึงและเพียงพอต่อความต้องการ ให้เกิดความมั่นคงทั้งในภาพรวมของประเทศและรายภูมิภาค ไม่ให้เกิดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนและไม่ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าของประชาชนทั้งประเทศ รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งคำนึงความยั่งยืนทางด้านพลังงานไฟฟ้า บนพื้นฐานของความเป็นธรรม และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งเมื่อผ่านขั้นตอนการร่างแผน PDP แล้ว จะต้องมีการดำเนินการรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนได้ ส่วนเสีย รวมถึงต้องผ่านการพิจารณาให้ความเห็นจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าด้วยการเสนอแผน PDP ซึ่งเป็นแผนระดับที่ 3 ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเสนอแผนระดับที่ 3 ไปยัง สศช. เพื่อพิจารณากลั่นกรองตามขั้นตอน และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ภายใต้มาตรา 11 (5) ของพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ก่อนนำเสนอต่อ กพช. และ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง