ทำความเข้าใจเรื่อง VAT 7% อย่างถูกต้อง ประชาชนได้ประโยชน์อะไร ประเทศพัฒนาแล้วเก็บกี่เปอร์เซ็นต์

ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% หรือ VAT 7%

เป็นสิ่งที่คนไทยน่าจะคุ้นหูกับการเรียกอัตราภาษีนี้มาหลายสิบปี ซึ่ง VAT 7% มักถูกหยิบยกขึ้นมาพูดทุกๆ ปี และกลายเป็นประเด็นทางการเมืองบ่อยครั้ง แต่จะมีใครรู้บ้างว่าที่มาที่ไปของ VAT7% นั้นคืออะไร แล้วถ้าหากเปรียบเทียบกับต่างประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วอัตราภาษีนี้ถูกจัดเก็บที่เท่าไหร่ และประโยชน์ของการจ่าย VAT7% ต่อการพัฒนาประเทศคืออะไร สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์จะเล่าให้เข้าใจอย่างง่ายๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องกับประชาชน

รู้จักกับภาษีมูลค่าเพิ่ม_หรือ_VAT7%

ภาษีมูลค่าเพิ่ม Value Added Tax (VAT) คือภาษีอากรประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นในทุกการบริโภคที่รัฐบาลเรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ ถือเป็นภาษีทางอ้อมโดยที่ผู้ประกอบการนั้นจะเรียกเก็บจากผู้บริโภคจากการซื้อสินค้าและบริการที่บวกลงไปในราคาของผลิตภัณฑ์ และจะนำภาษีนั้นส่งให้กับกรมสรรพากรเพื่อเข้าสู่คลังของประเทศเพื่อการใช้จ่ายและพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ซึ่งหากสังเกตจะเห็นว่าภาษีนี้จะถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจนไว้ใน“ใบกำกับภาษี” ที่เราได้รับมาตอนชำระเงินเสร็จแล้ว

สำหรับสูตรการคำนวณ VAT คือ “ราคาสินค้า/บริการ x 7% = ภาษีมูลค่าเพิ่ม” ยกตัวอย่างเช่น บริษัท NNT ขายโคมไฟราคา 1,070 โดยแบ่งเป็นต้นทุน 1,000 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่ม 70 บาท โดยบริษัท NNT ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับสรรพากรในทุกๆ เดือน

อันที่จริงแล้วสำหรับประเทศไทยอัตรา VAT ที่แท้จริงอยู่ที่ 10% มาตั้งแต่ปี 2535 แต่ว่าเมื่อปี 2540 ได้มีการออกพระราชกฤษฎีการลดอัตราภาษี VAT ซึ่งจะพิจารณาต่อในทุกๆ 2 ปี เหลือที่ 7% เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนในช่วงที่ประเทศเจอวิกฤตเศรษฐกิจการเงิน หรือวิกฤตต้มยำกุ้ง หลังจากนั้นตลอด 20 ปีที่ผ่านมาเราจึงเห็น 7% มาตลอดจนถึงปัจจุบัน แทนที่จะเป็น 10% อย่างที่ควรจะเป็น

ปัญหาของประเทศไทยที่ต้องเผชิญคือ การจัดเก็บอัตราภาษีต่างๆ ได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น กระทบต่องบประมาณในการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ แต่สิ่งเหล่านี้มักเป็นสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่มองข้าม และมักจะไม่อยากเสียภาษีในอัตราที่สมเหตุสมผล เพราะมองว่าภาษีคือ ภาระ ไม่ได้มองว่าเป็นหน้าที่ของพลเมือง แต่มีความต้องการที่จะได้สวัสดิการที่ดี โครงสร้างพื้นฐานที่ดี คุณภาพชีวิตที่ดี เหมือนในต่างประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง
.

ภาษีมูลค่าเพิ่มถูกนำไปใช้ประโยชน์อะไรกับประชาชน

ผลจากการจ่ายภาษีของประชาชนไม่เพียงแค่ทำให้ประเทศชาติมีงบประมาณในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ผลประโยชน์อีกนานัปการที่ประชาชนจะได้กลับไปในรูปแบบของสวัสดิการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเสียชีวิต เช่น สวัสดิการค่าคลอดบบุตร เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เงินจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี เป็นต้น ซึ่งนี่คือผลดีที่ประชาชนจะได้จากการชำระภาษี เพราะสุดท้ายเงินภาษีที่ชำระมาคือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพลเมืองในด้านต่างๆ โดยภาครัฐจะเป็นผู้จัดสรรตามความเหมาะสมนั้นเอง โดยจะถูกจัดสรรไปเป็นงบประมาณตามลักษณะงาน ดังนี้ (อิงตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี)

1. งบการศึกษา (โครงการเรียนฟรีในโรงเรียนของรัฐ)

2. งบสวัสดิการผู้สูงอายุ (เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ)

3. งบด้านความมั่นคง (กองทัพ ทหาร ยุทโธปกรณ์เพื่อป้องกันประเทศ)

4. งบการขนส่ง (การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ถนน ท่าเรือ รถไฟ)

5. งบสาธารณสุขอื่น (ซึ่งรวมถึงบัตรทอง)

6. งบโรงพยาบาล (บุคลากรทางการแพทย์ ยา เวชภัณฑ์)

7. งบตำรวจ

8. งบในลักษณะงานอื่นๆ

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ซึ่งกระทบต่อชีวิตประชาชน เศรษฐกิจ หรือแม้แต่ฐานะการคลังของทุกๆ ประเทศทั่วโลก ความเสี่ยงจากการที่ต้องใช้เงินงบประมาณเพื่อรับมือกับวิกฤตครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการจัดเก็บรายได้เข้าสู่รัฐบาลลดลงจากปีก่อนหน้าถึง 6.8% โดยผลการจัดเก็บรายได้สุทธิในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 อยู่ที่ 2,391,570 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563) ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากรายได้ภาษีที่ลดลง ในขณะที่รายได้ของหน่วยงานอื่นและเงินนำส่งของรัฐวิสาหกิจยังคงขยายตัวจากปีก่อน

แม้ต่อให้รายได้รัฐบาลลดลง แต่รัฐบาลก็ไม่อาจจะลดประสิทธิภาพการดูแลประชาชนลงได้ ในสภาวะเช่นนี้ ประชาชนมีความลำบากในการใช้ชีวิต ดังนั้น จึงได้รับการยืนยันจาก นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ว่า จะไม่มีการปรับอัตราภาษี VAT ภายในระยะเวลา 2 ปีนี้ อย่างแน่นอน

ส่วน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การเก็บ Vat 7% จะครบกำหนดสิ้นเดือนก.ย.นี้ ก็จะคงอัตราเดิมออกไปอีก 1 ปี ซึ่งจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้ง ยืนยันว่า ในช่วงนี้จะไม่มีการเพิ่มอัตราภาษี Vat จะต้องให้การปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบแล้วเสร็จก่อน โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่ง ซึ่งให้ระยะเวลา 1 ปี หลังจากนั้นก็ต้องมาดูกันอีกทีว่าอัตราภาษีจะมีการปรับเปลี่ยนอย่างไรให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ

ประเทศพัฒนาแล้วเก็บ VAT ที่กี่เปอร์เซ็นต์

ในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้ามีอัตราการจัดเก็บภาษี VAT ที่แตกต่างกัน แต่ถึงอย่างไรการจัดเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยนี้ย่อมทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตและบริการสาธารณะที่ดีมาก ซึ่งประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลกมีการเก็บภาษี VAT ในอัตราต่างๆ ดังนี้

ญี่ปุ่น VAT 8%

เกาหลีใต้ VAT 10%

จีน VAT 17%

ออสเตรเลีย VAT 10%

นิวซีแลนด์ VAT 12.5%

นอร์เวย์ VAT 25%

สหราชอาณาจักร VAT 20%

เยอรมัน VAT 19%

ออสเตรีย VAT 20%

เดนมาร์ก VAT 25%

ฟินแลนด์ VAT 23%

ฝรั่งเศส VAT 19%

อิตาลี VAT 20%

แคนาดา VAT 7 – 25%

เฉลี่ยทั้งโลกจัดเก็บที่ 15.5%

ส่วนสหรัฐอเมริกาการเก็บภาษีการค้าไม่ได้เรียกว่า VAT แต่เป็นภาษีการขายเรียกว่า Sales Tax ซึ่งแต่ละรัฐจะเก็บในอัตราที่ไม่เท่ากัน และเป็นการเรียกเก็บค่าบริการโดยตรงกับผู้ซื้อ ยังไม่รวม ภาษีรัฐ หรือ Stage Tax ที่เพิ่มเติมมาต่างหาก

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในประเทศกลุ่มพัฒนาแล้วส่วนใหญ่มีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่สูงมาก ซึ่งนั่นทำให้รัฐบาลมีงบประมาณมากเพียงพอจะไปจัดสรรการบริหารราชการแผ่นดินได้มีประสิทธิภาพอย่างที่ประชาชนต้องการ นอกจากจะเก็บ VAT ได้สูงแล้ว ภาษีเงินได้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ก็ยังจัดเก็บในอัตราที่สูงและครอบคลุมประชาชนเกือบทั้งหมด โดยจัดเก็บกันที่ 40% ขึ้นไป และครอบคลุมประชากรมากกว่า 80%

#เปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนด้วยกันแต่ละประเทศมีการเก็บภาษี VAT ดังนี้

ส่วนประเทศในภูมิภาคอาเซียนด้วยกันประเทศไทยถือว่ามีการเก็บ VAT น้อยที่สุดเทียบเท่ากับสิงคโปร์

ข้อมูลของกรมสรรพากรระบุว่า ในปี 2562 ประชากรไทย 68.86 ล้านคน มีคนยื่นภาษี 11 ล้านคน หรือ 16.18% และต้องจ่ายภาษีจริงๆ เพียง 5 ล้านคน จากประชากรวัยทำงานที่ 30 ล้านคน ทำให้ไทยเก็บภาษีเงินได้จากคนไทยได้เพียงแค่ 0.3 ล้านล้านบาท ซึ่งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานี้ถูกจัดเก็บได้เป็นอันดับที่ 3 ของภาษีทั้งหมด รองจาก ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีนิติบุคคล

ดังนั้นการที่ฝั่งการเมืองพยายามนำเรื่องภาษีไปเป็นประเด็นหาเสียง โดยอ้างว่าจะลดภาษี VAT ลงนั้นอาจจะเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้ได้คะแนนเสียงมา แต่หากมีการประกาศลด VAT จริงๆ ก็ต้องลองพิจารณาดูว่า ในเมื่อภาษีอื่นๆ ก็จัดเก็บได้น้อยอยู่แล้ว และจะลด VAT อีก สิ่งที่เกิดขึ้นกับสวัสดิการที่ประชาชนจะได้รับนั้นจะเป็นอย่างไร และจะมีเงินมาบริหารประเทศเพียงพอหรือไม่ ประชาชนคือผู้ต้องตัดสินใจและเท่าทันต่อคำพูดของนักการเมืองให้ดี เพราะสุดท้ายผลกระทบตกอยู่ที่ประชาชนทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง