จากกรณีที่สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ได้จัดอันดับเขตเศรษฐกิจที่สามารถรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จากทั้งหมด 53 เขตเศรษฐกิจของโลก ประจำเดือนเมษายน และไทยอยู่อันดับที่ 13 ของโลก ด้วยคะแนน 66.7 ถูกเวียดนามและฮ่องกงแซงหน้าขึ้นไป
“ประสิทธิภาพการรับมือไวรัสของรัฐบาลลดลงหรือไม่?”
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ผลการจัดอันดับดังกล่าวไม่ได้เป็นการวัดประสิทธิภาพการรับมือโรคระบาด แต่เป็นการแสดงผลตามสถานการณ์ ณ เวลานั้น ๆ ซึ่งมีการปรับขึ้นหรือลงได้ในทุก ๆ ประเทศ และรัฐบาลไทยยังคงดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างเข้มข้นในการป้องกันไวรัสมาโดยตลอด
หากดูตามการจัดอันดับนี้จะพบว่าไม่ใช่ประเทศไทยประเทศเดียวที่ในช่วงก่อนหน้าเคยอยู่ในอันดับที่สูงกว่านี้ เพราะประเทศอื่นที่รับมือกับไวรัสได้ดีก็มีอันดับลดลงเช่นกัน คือ นิวซีแลนด์ ที่ลงจากอันดับ 1 มาอยู่อันดับ 2 ไต้หวัน จากอันดับ 4 มาอยู่อันดับ 5 และจีนจากอันดับ 7 มาอยู่ที่อันดับ 12 รวมทั้งนอร์เวย์ที่เคยอยู่อันดับ 10 ก็ร่วงลงมาอยู่ที่อันดับ 15 ตามหลังไทย

ไทยยังรับมือได้ดี ติดกลุ่มสีฟ้า Top-3 อาเซียน
ถึงแม้ว่าระดับของไทยจะลดลง แต่ก็ยังอยู่ใน “กลุ่มสีฟ้า” ซึ่งหมายถึงประเทศที่มีสถานะดีในการรับมือกับโควิด-19 ซึ่งอยู่กลุ่มเดียวกันกับประเทศชั้นนำของโลก เพียงแต่ผลการจัดอันดับที่ลดลงเนื่องจากความคืบหน้าการฉีดวัคซีน และการได้รับวัคซีนยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ ทั้งการนำเข้าซึ่งจะต้องใช้เวลาในการกระจายวัคซีนให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และการผลิตเองภายในประเทศ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามกรอบไทม์ไลน์การดำเนินงานของรัฐบาล และจะสามารถกระจายวัคซีนได้ครอบคลุมเกินกว่า 50% ของจำนวนประชากรอย่างแน่นอนนอนภายในปีนี้
หากเทียบในระดับอาเซียนประเทศไทยยังคงอยู่อันดับ Top 3 ของการจัดการกับโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางปัจจัยต่างๆ ที่รุมเร้า นั่นหมายความว่า ความสามารถในการรับมือยังคงอยู่ในระดับที่ดีกว่าหลายๆ ประเทศทั่วทั้งในอาเซียนและทั่วโลก

เดินฉีดวัคซีนตามแผนอย่างรอบคอบและปลอดภัย
ประเทศไทยยังมีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนที่เป็นไปตามแผน อย่างรอบคอบและรัดกุมโดยเน้นความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก และมีความหลากหลายของยี่ห้อวัคซีนมากขึ้น ขณะนี้ในไทยมีวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนกับ อย. แล้ว 3 ชนิด คือ AstraZeneca Sinovac และล่าสุดคือ Johnson&Johnson ส่วนที่เตรียมขึ้นทะเบียนกับ อย.เพิ่มเติมคือ Moderna ที่จะนำเข้ามาเร็วๆ นี้ ส่วนในเดือนมิถุนายนวัคซีนของ AstraZeneca ล็อตแรกที่ผลิตโดยสยามไบโอไซเอนซ์ ก็จะเข้าสู่ระบบการฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งเป็นฐานการผลิตให้กับอาเซียนต่อไป
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมเป็นต้นมารัฐบาลเปิดช่องทางการลงทะเบียนเพื่อรับวัคซีนของประชาชนผ่าน “หมอพร้อม” และมีประชาชนลงทะเบียนจองสิทธิ์การรับวัคซีนเป็นจำนวนวนมาก ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายฉีดวัคซีน 100 ล้านโดสให้กับคนในประเทศไทยให้ได้ภายในสิ้นปีนี้อย่างแน่นอนจากความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนในนาม “ทีมไทยแลนด์”