สภาพัฒน์ยืนยันใช้งบและเบิกจ่ายงบเงินกู้ 1 ล้านล้านบาทเพื่อแก้ปัญหาการระบาดของโรคโควิด 19 ควบคู่กับมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีเป็นหลัก โดยมีคณะกรรมการร่วมพิจารณาเพื่อให้เกิดประโยชน์สุงสุดแก่ประชาชนทุกกลุ่ม ส่วนการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้านั้น เนื่องจากบางโครงการอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างวัสดุ อุปกรณ์และครุภัณฑ์ทางสาธารณสุข
นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะโฆษก ชี้แจงกรณี นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรอง นายกรัฐมนตรี วิจารณ์การเบิกจ่ายและแผนการใช้งบประมาณมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ขอชี้แจงข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการเบิกจ่ายและแผนการใช้งบประมาณมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ดังนี้
ประเด็นที่ 1 เหตุใดในแผนงานและโครงการทางการแพทย์และสาธารณสุขวงเงิน 45,000 ล้านบาท อนุมัติ 30,000 ล้านบาท แต่กลับเบิกจ่ายไปเพียง 7,692 ล้านบาท ทั้งที่ปัจจุบันยังมีปัญหาห้องรักษาพยาบาล เตียงและอุปกรณ์ทางสาธารณสุขไม่เพียงพอ ประเด็นนี้ ขอชี้แจงว่า เนื่องจากในช่วงที่มีการระบาด รัฐบาลได้มีการสนับสนุนงบประมาณเพื่อให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดหายาที่จำเป็นและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ เพื่อรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19 รวมถึงการสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์แล้ว ดังนั้น การดำเนินงานในส่วนของแผนงาน/โครงการด้านการแพทย์และสาธารณสุขภายใต้ พ.ร.ก.เงินกู้ (1 ล้านล้านบาท) จึงเป็นการดำเนินการเตรียมความพร้อมด้านสถานพยาบาล ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ นอกเหนือจากรายการข้างต้น สำหรับรับมือการบำบัดการรักษา ป้องกันควบคุมโรค รวมทั้งวิจัยและพัฒนาเพื่อการฟื้นฟูด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยมี สธ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก
ปัจจุบัน (ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2564) มีโครงการภายใต้แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข (แผนงานที่ 1) ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ รวม 42 โครงการ วงเงินรวม 25,825.8796 ล้านบาท (คงเหลือกรอบวงเงินกู้ประมาณ 19,174.1204 ล้านบาท) เบิกจ่ายแล้วจำนวน 10 โครงการ รวม 7,102.6471 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 27.50) สาเหตุที่ทำให้มีการเบิกจ่ายค่อนข้างต่ำ เป็นผลจากหน่วยงานรับผิดชอบโครงการยังอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข อาทิ เครื่องฉายรังสี ยารักษาโรค วัคซีนป้องกันโรค ก่อสร้างและปรับปรุงห้องปฏิบัติการทางแพทย์ อาทิ ห้องความดันลบ (Negative pressure) cohort ward ห้องทันตกรรม
ประเด็นที่ 2 เหตุใดโครงการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ วงเงิน 3.55 แสนล้าน อนุมัติ 1.387 แสนล้าน แต่กลับเบิกจ่ายไปเพียง 7.06 หมื่นล้านบาท ประเด็นนี้ ขอชี้แจงว่า ปัจจุบัน (ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2564) มีโครงการภายใต้แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19 (แผนงานที่ 3) ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ แล้วจำนวน 232 โครงการ วงเงินรวม 138,181.4047 ล้านบาท (คงเหลือกรอบวงเงินกู้ประมาณ 216,818.5953 ล้านบาท) เบิกจ่ายแล้ว จำนวน 110 โครงการ วงเงินรวม 69,117.4811ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 49.15) สาเหตุที่ทำให้มีการเบิกจ่ายต่ำนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการดำเนินการตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างวัสดุและครุภัณฑ์ และความจำเป็นที่ต้องชะลอกิจกรรมที่ต้องลงพื้นที่ และฝึกอบรม อันเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในช่วงต้นปี 2564 ถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ของหน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่มีผลการเบิกจ่ายต่ำกว่าร้อยละ 10 จำนวน 141 โครงการ (จาก 209 โครงการ) พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบทั้ง 209 โครงการ เร่งดำเนินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ โดยเร็ว โดยกำหนดเงื่อนไขว่าหากหน่วยงานไม่สามารถลงนามผูกพันสัญญาในกิจกรรม/โครงการที่ต้องมีการจัดซื้อจัดจ้างหรือไม่มีแผนการใช้จ่ายในส่วนงบดำเนินงานที่ชัดเจนภายในวันที่ 30 เมษายน 2564 เห็นควรให้ยุติการดำเนินโครงการและรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะทราบ พร้อมทั้งส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายตามขั้นตอนของข้อ 19 และข้อ 20 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ต่อไป
ขณะนี้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการจังหวัดที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ได้ขอยกเลิกโครงการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 แล้ว รวม 5 จังหวัด 11 โครงการ วงเงินรวมประมาณ 64.4819 ล้านบาท และขณะนี้กรมการจัดหางานซึ่งรับผิดชอบโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่ สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและภาคเอกชน กรอบวงเงิน 19,462.0017 ล้านบาท อยู่ระหว่างการเสนอขอปรับลดเป้าหมายจำนวนการจ้างงานและปรับลดวงเงินของโครงการ ซึ่ง สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการฯ ให้กำกับและติดตามให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินโครงการตามขั้นตอนของระเบียบที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ประเด็นที่ 3 ข้อกล่าวหาว่ามีการใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อการสร้างฐานเสียงของนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ประเด็นนี้ขอชี้แจงว่า การใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ได้มีการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 พ.ศ. 2563 เพื่อกำหนดขั้นตอนการจัดทำข้อเสนอโครงการ การพิจารณากลั่นกรอง และการอนุมัติโครงการที่ชัดเจน
ในขั้นการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของโครงการฯ ที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทำหน้าที่กลั่นกรองแผนงาน/โครงการเพื่อเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณา โดยได้แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคส่วนต่าง ๆ เพิ่มเติมจากผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ในคณะกรรมการฯ เพื่อให้คณะกรรมการฯ สามารถพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของโครงการที่จะใช้จ่ายจากเงินกู้ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีได้อย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้ เกิดความคุ้มค่าและสามารถแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ จากการพิจารณารายละเอียดของแผนงาน/โครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ จำนวน 283 โครงการ พบว่า มีพื้นที่ดำเนินโครงการกระจายอยู่ทั่วประเทศ อีกทั้ง ในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ ได้มีการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อรองรับการตรวจสอบและยืนยันตัวตน เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนแบบมุ่งเป้า ทำให้การใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เป็นไปอย่างคุ้มค่า โปร่งใส และตรวจสอบได้ รวมทั้งจะช่วยพัฒนาความสามารถในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลให้แก่คนไทย เพื่อรองรับการปรับตัวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดในอนาคตด้วย
ประเด็นที่ 4 การระบาดใน 2 ระลอกที่ผ่านมา รัฐบาลมีแผนใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท แต่ในระลอก 3 ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงยิ่งกว่าเดิม กลับมีแผนจะใช้งบประมาณเพียง 2.355 แสนล้านบาท เหตุใดจึงตั้งงบประมาณปีหน้าไว้แบบถดถอย คือลดงบประมาณรายจ่ายลงจากปีก่อน ประเด็นนี้ ขอชี้แจงว่า สศช. ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) ในการเร่งพิจารณากำหนดมาตรการช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในระลอกเดือนเมษายน 2564 ที่เหมาะสมเพิ่มเติมจากมาตรการบรรเทาผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการของข้อเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในระลอกเดือนเมษายน 2564 ตามที่ สศช. เสนอ ประกอบด้วย มาตรการ 2 ระยะที่จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม จนถึงเดือนธันวาคม 2564 ดังนี้
มาตรการระยะที่ 1 จะเริ่มต้นดำเนินการได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2564 ประกอบด้วย มาตรการการเงิน อาทิ
- มาตรการ สินเชื่อสู้ภัย COVID-19 วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท
- มาตรการพักชำระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือ SFIs โดยให้ SFIs ขยายระยะเวลาพักชำระหนี้ โดยการพักชำระเงินต้นให้แก่ลูกหนี้ตามความสมัครใจ ออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
- มาตรการเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในระยะเร่งด่วน ได้แก่ มาตรการลดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้า และน้ำประปาของประชาชน และกิจการขนาดเล็กทั่วประเทศ ในช่วงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2564
- มาตรการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รวมประมาณ 43 ล้านคน วงเงินรวมประมาณ 85,500 ล้านบาท
มาตรการระยะที่ 2 ในช่วงเดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2564 ซึ่งคาดว่าสถานการณ์การระบาดน่าจะคลี่คลายลงจนอยู่ในระดับที่สามารถดำเนินมาตรการในระยะที่ 2 ได้ โดยมาตรการระยะที่ 2 จะเป็นการดำเนินโครงการเพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายกว่า 51 ล้านคน และคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 473,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการ SME ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถมีโอกาสในการขายสินค้า และบริการได้มากขึ้น กรอบวงเงินประมาณ 140,000 ล้านบาท
ปัจจุบัน (ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2564) คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติโครงการที่เสนอขอใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ ตามที่คณะกรรมการฯ เสนอแล้ว จำนวน 283 โครงการ รวมกรอบวงเงินกู้ 762,902.4958 ล้านบาท คงเหลือวงเงินกู้ 237,097.5042 ล้านบาท ซึ่งยังพอเพียงสำหรับการดำเนินการตามมาตรการที่เสนอไปแล้ว
ประเด็นที่ 5 หากต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อใช้ในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ จะหาแหล่งเงินกู้จากที่ใด ประเด็นนี้ ขอชี้แจงว่า ขณะนี้ สศช. ได้ร่วมกันหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ เพื่อพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือ เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อรองรับในกรณีที่รัฐบาลได้อนุมัติแผนงาน/โครงการใช้จ่ายตามพระราชกำหนดฯ เต็มจำนวนกรอบวงเงินกู้ที่กำหนดไว้ในพระราชกำหนดฯ คือ จำนวน 1 ล้านล้านบาท ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว ทั้งนี้ หากได้ข้อยุติแล้วจะเร่งดำเนินการเสนอเรื่องดังกล่าวให้แก่คณะรัฐมนตรีต่อไป