กรณีมีข้อวิจารณ์การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ว่า มีข้อจำกัด อาจไม่เพียงพอเยียวยาประชาชน และขัดต่อ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ นั้น
นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชี้แจงว่า ปัจจุบันโครงการภายใต้ พ.ร.ก.เงินกู้โควิด-19 ได้อนุมัติวงเงินแล้วทั้งสิ้น 833,475 ล้านบาท โดยยังมีเงินคงเหลืออีก 166,525 ล้านบาท (ข้อมูล สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ, สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ณ วันที่ 11 พ.ค.64) นอกจากนี้ ยังมีงบกลาง รายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินและจำเป็น งบประมาณปี 64 วงเงิน 99,000 ล้านบาท ซึ่งยังมีเงินคงเหลืออีก 98,213.9 ล้านบาทและค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 40,325.6 ล้านบาท ซึ่งยังมีวงเงินคงเหลืออีก 37,108.2 ล้านบาท
สำหรับงบประมาณ ปี 65 รัฐบาลได้ตั้งวงเงินงบกลาง รายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินและจำเป็น จำนวน 89,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาใช้เยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบได้ นอกจากนี้ ได้กำหนดวงเงินงบประมาณสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามยุทธศาสตร์ อาทิ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศ (Local Economy) การปรับปรุงและพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ (Enabling Factors) ซึ่งดำเนินการตามภารกิจของส่วนราชการและสามารถนำมาใช้ฟื้นฟูและช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด–19 ได้เช่นกัน
ดังนั้น จากข้อมูลข้างต้นทำให้มั่นใจได้ว่าในปี 64 และ 65 รัฐบาลยังคงมีวงเงินเพียงพอสำหรับการดำเนินมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ด้านนางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงว่า การจัดทำงบประมาณได้หารือร่วมกันระหว่าง 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย โดยพิจารณาความเหมาะสมภายใต้กฎหมายและสมมติฐานทางเศรษฐกิจ ณ ขณะนั้น ทั้งนี้ได้มีความเห็นร่วมกันที่จะจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาทและวงเงินขาดดุลเต็มจำนวนที่ 7 แสนล้านบาท โดยได้คำนึงถึงผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อข้อสมมติฐานทางเศรษฐกิจ
ส่วนการขาดดุลงบประมาณจำนวน 7 แสนล้านบาท มากกว่างบประมาณรายจ่ายลงทุนที่อยู่ที่ 6.2 แสนล้านบาทนั้น พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ได้กำหนดไว้ว่า ในกรณีที่การตั้งงบประมาณไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ให้แสดงเหตุผลความจำเป็นและมาตรการในการแก้ไขต่อรัฐสภาพร้อมกับการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีด้วย ซึ่งในกรณีนี้สำนักงบประมาณได้จัดทำข้อเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าวและอยู่ระหว่างนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ