ตามที่มีข้อวิจารณ์การโอนข้าว 20,000 ตันให้สมาคมผู้ส่งออกข้าวดำเนินการเพื่อส่งออกให้รัฐไปต่างประเทศนั้น
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ชี้แจงว่า วิธีจัดหาข้าวและส่งมอบภายใต้สัญญา G to G โดยมอบสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยดำเนินการไม่ใช่เรื่องใหม่ ได้ดำเนินการมาหลายรัฐบาลมากกว่า 20 ปีแล้ว ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการตาม “แนวทางปฏิบัติในการเจรจาและการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (Government to Government : G to G)” ที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.62 และคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางปฏิบัติฯ เมื่อวันที่ 4 ก.พ.63 โดยแนวทางปฏิบัติฯ มีที่มาตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เสนอเรื่อง “มาตรการป้องกันการทุจริต กรณีการค้าระหว่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐ จากโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ” และกรมการค้าต่างประเทศได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแนวทางปฏิบัติดังกล่าวสำหรับการขายข้าวแบบ G to G

โดยมติคณะกรรมการ นบข.ได้มอบหมายกรมการค้าต่างประเทศร่วมมือกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ปรับปรุงหรือจัดหาข้าวส่งมอบให้แก่รัฐบาลประเทศผู้ซื้อตามสัญญา G to G โดยให้กรมการค้าต่างประเทศ ทำข้อตกลงความร่วมมือกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการส่งข้าวไปต่างประเทศ รวมทั้งมีศักยภาพในการรับประกันความเสี่ยงในการส่งมอบข้าวภายใต้สัญญา G to G อาทิ การเปลี่ยนแปลงของราคาข้าวในตลาด ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน สภาพอากาศที่ทำให้เกิดปัญหาส่งมอบข้าวล่าช้า ค่าเสียเวลาเรือและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น เป็นต้น

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ได้กล่าวย้ำว่า รัฐบาลหลายๆ ชุด ในอดีต ได้มอบกรมการค้าต่างประเทศร่วมมือกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยจัดหาและส่งมอบข้าวแบบ G to G ให้ COFCO รัฐบาลจีน NFA รัฐบาลฟิลิปปินส์ และ BERNAS รัฐบาลมาเลเซียอยู่แล้ว การร่วมมือกับสมาคมฯ เนื่องจากมีความคล่องตัวในการดำเนินการและบริหารจัดการ หากรัฐมาจัดหาและส่งมอบข้าวเองจะใช้เวลามากอาจทำให้การส่งมอบล่าช้า ซึ่งคำสั่งซื้อข้าว G to G ส่วนใหญ่ต้องการการส่งมอบโดยเร็ว และที่ผ่านมา สมาคมฯ ได้ส่งมอบข้าวให้แก่รัฐบาลผู้ซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น ทันตามกำหนดเวลา สร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศผู้ซื้อและรักษาชื่อเสียงของประเทศเป็นสำคัญ
ส่วนการเรียกเก็บค่าบริหารจัดการตันละ 150 บาทจากสมาชิกนั้น เป็นเรื่องภายในของสมาคมฯ มิได้เกี่ยวข้องกับกรมการค้าต่างประเทศ