พบคลัสเตอร์ใหม่ “ห้างย่านลาดพร้าว”

พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เปิดเผยว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิค -19 รายใหม่ เป็นคลัสเตอร์ ในพื้นที่กรุงเทพฯ พบเพิ่มขึ้น 1 คลัสเตอร์ รวมเป็น 48 คลัสเตอร์ ได้แก่ คลัสเตอร์ ลาดพร้าว พบผู้ติดเชื้อในห้างสรรพสินค้า 23 ราย กทม. จึงมีแผนปรับการลงพื้นที่ในเขตลาดพร้าวด้วย

ส่วนคลัสเตอร์ต่างจังหวัด จังหวัดสมุทรปราการ ที่ตลาดสำโรง พบผู้ติดเชื้อ 186 ราย แบ่งเป็นที่โรงงานผลิตจำหน่ายซอส 36 ราย, โรงน้ำแข็ง ที่เป็นคลัสเตอร์ใหม่ 74 ราย, ชุมชนและตลาดเคหะบางพลี 16 ราย จังหวัดเพชรบุรี เป็นโรงงานชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งแพร่กระจายไปยัง 11 จังหวัดแล้ว และพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอีก 438 ราย ส่วนจังหวัดตรัง พบการระบาดที่โรงงานผลิตถุงมือและยังระบาดอย่างต่อเนื่อง มีการแพร่ระบาดไปยังชุมชน ขอให้ประชาชนระมัดระวังโดยเฉพาะการเดินทางเข้าพื้นที่  จังหวัดสมุทรสาคร โรงงานผลิตสินค้าเด็ก กระทุ่มแบน พบคลัสเตอร์ใหม่ 42 ราย /=ส่วนที่ตากใบ จังหวัดนราธิวาส พบรายงานระบาดในชุมชน 28 ราย บริษัทผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นคลัสเตอร์ใหม่ยืนยัน 11 ราย

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ที่ประชุม ศปก.ศบค. ได้พูดคุยถึงกรณีโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ ที่จังหวัดสระบุรี ที่กระจายไปยังหลายจังหวัด โดยกรมควบคุมโรครายงานว่าโรงงานดังกล่าวมีพนักงาน ทั้งชาวไทยและต่างชาติ รวมกว่า 5,000 คน การติดเชื้อหลากหลาย ทั้งติดเชื้อในแผนก พนักงานที่ทำงานแปรรูปพนักงานแปรรูปชิ้นไก่ พนักงานเตรียมวัตถุดิบ พนักงานสนับสนุน back office ซึ่งจากการวิเคราะห์ หากเป็นแรงงานกัมพูชา จะพักอาศัยในหอพัก ค่อนข้างแออัด บ้านหอพัก 1 ห้องอาศัยอยู่ 6 คน ส่วนคนไทยจะอาศัยอยู่ที่บ้านพักของตัวเอง ขณะที่แรงงานฝีมือ หรือรายงานช่าง พบการติดเชื้อน้อย เนื่องจากมีมาตรการส่วนตัวที่เข้มข้น แม้จะอาศัยอยู่ในกลุ่มที่มีการติดเชื้อ ทำให้ ศบค. มีการทบทวนมาตรการ ในสถานประกอบการ

สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย ได้รายงานการประชุม ศปก.ศบค. เกี่ยวกับสถานประกอบการ ว่า เพื่อหามาตรการป้องกันการติดเชื้อในโรงงาน ลดความรุนแรงของการแพร่ระบาด ไม่ให้แพร่กระจายไปสู่ชุมชนในวงกว้าง ต้องการให้มีการปกป้องเศรษฐกิจและสังคม ให้ดำเนินกิจการได้แม้มีการแพร่ระบาด โดยช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาพบ 10 จังหวัด มีการติดเชื้อในโรงงาน มีความแออัดของคนงานและสถานประกอบการที่อากาศไม่ถ่ายเท มีจุดสัมผัสไม่สะอาด รวมทั้งมีพฤติกรรมในการทำกิจกรรมร่วมกัน โดยพบว่าโรงงานขนาดใหญ่มีผู้ติดเชื้อถึงร้อยละ 20

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า กรมอนามัย ยังรณรงค์ให้ใช้มาตรการ Thai stop service plus ให้โรงงานหรือสถานประกอบการประเมินตนเองและการประเมินตนเองตามมาตรฐานของ กระทรวงอุตสาหกรรม IPHA เพื่อให้โรงงานสถานประกอบการเรียนรู้เพื่อการป้องกันโรคการสอบสวนโรค รวมทั้งการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการเสริม หากพบผู้ติดเชื้อในโรงงาน หรือในแผนกจะต้องทำอย่างไร ตลอดจนคำแนะนำในการกักตัว ซึ่งมีการแปลข้อมูลออกเป็นหลายภาษา ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษและภาษาเมียนมา โดยเฉพาะโรงงานที่มีการติดเชื้ออยากให้เข้าไปทำแบบประเมินโรงงานนี้ แต่พบว่าโรงงานขนาดใหญ่กว่า 3,300 โรงงาน เข้าไปทำแบบประเมินเพียง 650 โรงงาน /ดังนั้นภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2564 โรงงานขนาดใหญ่ ที่มีรายชื่ออยู่ในกระทรวงอุตสาหกรรม 100% จะต้องเข้าไปประเมินตนเองให้ครบถ้วน จะเลือกทำบางส่วนไม่ได้ หากประเมินแล้วไม่ผ่านเกณฑ์จะมีทีมลงพื้นที่ไปกำกับติดตาม หากสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม จะหาทางช่วยเหลือเพื่อให้การแพร่ระบาดลดลงและให้กิจการดำเนินต่อไปได้ หากโรงงานใดไม่ให้ความร่วมมือ จะมีการพิจารณาบทลงโทษต่อไป

นอกจากนี้ ผอ.ศปก.ศบค. ได้มอบหมายให้ กรมควบคุมโรค ทบทวนรายละเอียด bubble and seal แคมป์คนงานก่อสร้าง เพื่อให้การแพร่ระบาดอยู่ในวงจำกัด ให้สถานประกอบการเข้าใจรายละเอียดการปฏิบัติให้ตรงกัน โดยกลุ่มควบคุมโรคจากเสนอรายละเอียดอีกครั้ง ทั้งนี้หากยังไม่ปฏิบัติตาม จะขอความร่วมมือฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ บชน. สปม. ให้การสนับสนุน กทม. และกรมควบคุมโรค เพื่อให้มาตรการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคุมการแพร่ระบาดได้ในที่สุด 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง