นับถอยหลัง คนละครึ่งเฟส 3 เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจไทยแบบไร้รอยต่อ

หลังจากรัฐบาลอนุมัติเดินหน้า 4 โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ “เราชนะ” “ม.33 เรารักกัน” “คนละครึ่ง” และ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” โดยเฉพาะใน 2 โครงการแรกที่กำลังจะสิ้นสุดโครงการไปในช่วงเดือน พ.ค.63 (ในระยะที่1) แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่อง คนจำนวนไม่น้อยส่งเสียงมาถึงรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ให้เร่งเยียวยาช่วยเหลือ เพื่อให้ทันต่อความเดือดร้อนของประชาชน ที่เริ่มรุนแรงมากขึ้นในช่วงการระบาดระลอก เดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลตัดสินใจ เติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ ผ่านโครงการ “เราชนะ” และ “ม.33 เรารักกัน” ในเฟส 2 ทันที รวมถึงเติมเงินช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ เพื่อเติมเงินเข้ากระเป๋าให้ประชาชนได้เลี้ยงปากท้องในช่วงจำเป็นเร่งด่วน และมีเงินในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนไปจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย. 64

ในขณะที่สถานการณ์ของโควิดเริ่มทรงตัว แต่เศรษฐกิจยังไม่มีทีท่าจะฟื้น “คนละครึ่ง” เฟส 3 และ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” จะเป็นกลไกสำคัญที่รัฐจะเติมเงินเข้าสู่ระบบ แล้วให้กลุ่มคนที่มีกำลังซื้อเติมเงินตัวเองเข้ามาส่วนหนึ่ง

“คนละครึ่ง” ซึ่งเป็นโครงการที่คุ้นเคยทั้งคนซื้อ และคนขายมาแล้วใน 2 เฟสแรก จึงเดินหน้าต่อเฟส 3 ทันที เพิ่มผู้ได้รับสิทธิ์จาก 2 เฟสแรก 15 ล้านคน เป็น 31 ล้านคน (ลงทะเบียนเพิ่ม 16 ล้านคน) ซึ่งจะเริ่มเปิดลงทะเบียนในวันพรุ่งนี้ (14 มิ.ย.64)

“ยิ่งใช้ยิ่งได้” เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับกลุ่มคนเป๋าหนัก ที่อาจต้องใช้เงินของตัวเองมากหน่อย (ค่าใช้จ่ายเต็มวงเงินอยู่ที่ 60,000บาท) แต่ก็จะได้เงินคืนในรูปแบบของ e-Voucher มากตามไปด้วยประมาณ 10-15% ขึ้นกับยอดใช้จ่าย

จากโครงการทั้งหมดที่ว่ามา เป็นการเติมเงินเข้า “เป๋าตังค์” ของประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า 40 ล้านคน ยังไม่นับรวมถึงผู้ประกอบการร้านค้า ร้านอาหาร และธุรกิจอื่น ๆ รายกลาง รายย่อย อีกนับล้าน ที่กลับมาคึกคักจากการที่คนมีกำลังซื้อ แล้วเข้าไปอุดหนุนสินค้าและบริการนั้น

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้จ่ายเงิน จากการกู้เงิน 1 ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านมา และเมื่อสถานการณ์การระบาดยังไม่จบ ยังมีประชาชนเดือดร้อน หากไม่กู้เงินก้อนใหม่เข้ามาเติม แล้วใช้วิธีการหารายได้ (เก็บภาษี) ก็อาจจะยิ่งซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน

ดังนั้นเงินกู้ 5 แสนล้านบาท ที่เพิ่งผ่านสภาฯ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องนำมาใช้ เพื่อช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที ทั้งควบคุมการแพร่ระบาดและเดินหน้าเศรษฐกิจ ที่ระบุกรอบการใช้เงินไว้ชัดเจน ได้แก่

  1. การแก้ปัญหาการระบาดของโควิด-19 ด้านการแพทย์และสาธารณสุข (30,000 ล้านบาท)
  2. เงินช่วยเหลือ เยียวยา ให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 (300,000 ล้านบาท)
  3. โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 (170,000 ล้านบาท)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง