“พลังงาน” แจงสถานการณ์ราคาน้ำมัน ชี้ ต้องศึกษาการปรับโครงสร้างราคา

กรณี น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาที่ประชาชนประสบความยากลำบากทางเศรษฐกิจมากที่สุดจากวิกฤตโควิด-19 รัฐบาลจึงควรเร่งปรับโครงสร้างราคาน้ำมันและบทบาทในการใช้เงินของกองทุนน้ำมัน นั้น

นายสมภพ พัฒนอริยางกูล โฆษกกระทรวงพลังงาน ชี้แจงว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น สาเหตุมาจากความต้องการใช้พลังงานทั่วโลกเพิ่มขึ้นหลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 อีกทั้งค่าเงินบาทได้อ่อนตัวลง จึงส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไทย มีการปรับขึ้นราคาในเดือนกันยายน 2564 จำนวน 6 ครั้ง ครั้งละประมาณ 40 – 60 สตางค์ต่อลิตร

ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานได้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 2,237 ล้านบาทต่อเดือน ในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศ ทั้งยังร่วมมือทุกหน่วยงาน ผู้ประกอบการในการดูแลค่าการตลาดน้ำมัน การดูแลเกษตรกรผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน และให้คงราคาก๊าซหุงต้ม ซึ่งแม้ว่ากระทรวงพลังงานได้ดำเนินการแล้ว แต่การปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลในประเทศบางประเภทสูงขึ้นจนส่งผลกระทบกับการดำรงชีพของประชาชน เนื่องจากโครงสร้างราคาน้ำมันนั้นประกอบไปด้วย

  1. ราคาหน้าโรงกลั่นหรือราคาเนื้อน้ำมัน คือ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ยังไม่ได้รวมภาษี กองทุน และค่าการตลาด
  2. ภาษีสรรพสามิต คือ ภาษีที่จัดเก็บสินค้าที่มีผลกระทบต่อสังคม ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการจำกัดการใช้ของสินค้าเหล่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นการจัดหารายได้ให้แก่ภาครัฐ ซึ่งเงินส่วนหนึ่งอาจนำมาใช้ประโยชน์เพื่อสังคม
  3. ภาษีมหาดไทย (ภาษีเทศบาล) คือ ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บเพิ่มขึ้นตามมาตรา 4 ของ พรบ.จัดสรรเงินภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และส่งมอบให้กระทรวงมหาดไทย มีอัตราร้อยละ 10 ของภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละประเภท
  4. เงินที่เรียกเก็บเข้า/อุดหนุน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจัดตั้งขึ้นตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 วัตถุประสงค์หลักคือการรักษาเสถียรภาพของระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศ กรณีที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากการที่ราคาน้ำมันขายปลีกมีราคาสูง ก็จะใช้กองทุนน้ำมันเข้าไปชดเชยราคา โดยการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จะมีการจัดตามชนิดน้ำมันที่แตกต่างกันออกไป
  5. เงินที่เรียกเก็บเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจัดตั้งขึ้นตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2550 เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายช่วยเหลือหรืออุดหนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานตามวัตถุประสงค์ของการใช้เงินในมาตรา 25 โดยมีคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เป็นผู้กำหนดแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ รวมทั้งกำหนดอัตราการส่งเงินที่เรียกเก็บเข้ากองทุนฯ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามความในมาตรา 4
  6. ภาษีมูลค่าเพิ่มของราคาขายส่ง โดยภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax หรือ VAT) เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากมูลค่าของสินค้าหรือบริการในส่วนที่เพิ่มขึ้นแต่ละขั้นตอนของการผลิตและการจำหน่ายสินค้าหรือบริการชนิดต่างๆ โดยปัจจุบันอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับธุรกิจการขายสินค้า การให้บริการทุกชนิด และการนำเข้า อยู่ที่อัตราร้อยละ 7
  7. ค่าการตลาด คือ ผลตอบแทนที่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 จะได้รับจากการทำธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งระบบ ซึ่งรวมถึงผลตอบแทนของการลงทุนก่อสร้างคลังน้ำมัน ระบบขนส่ง การก่อสร้างสถานีบริการ การส่งเสริมการขาย และค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจทุกอย่าง รวมถึงค่าใช้จ่ายบุคลากร ดังนั้น ค่าการตลาดจึงมิใช่กำไรของผู้ประกอบการ แต่เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจซึ่งรวมถึงกำไรด้วย
  8. ภาษีมูลค่าเพิ่มของค่าการตลาด คิดเป็น 7% ของค่าการตลาด

ปัจจุบัน กระทรวงพลังงาน ได้มีการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดเก็บไปมาชดเชยราคาน้ำมันที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ เช่น เอทานอล และ ไบโอดีเซล เพื่อส่งเสริมด้านราคาให้ประชาชนหันมาใช้เพิ่มมากขึ้น และลดการนำเข้า อีกทั้งทำให้ราคาของพืชเกษตรเช่น มันสำปะหลัง อ้อย ปาล์มน้ำมัน มีเสถียรภาพ นอกจากนี้ กระทรวงพลังงาน ยังได้นำเงินกองทุนออกมาชดเชยราคา LPG หรือก๊าซหุงต้ม ที่ปัจจุบันมีราคาค่อนข้างสูง เพื่อช่วยเหลือและผลกระทบต่อประชาชนและร้านค้า ส่วนในของประเด็นข้อเรียกร้องให้มีการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันนั้น จะต้องมีการศึกษาและพิจารณาอย่างรอบด้าน เพื่อประโยชน์โดยรวมของทุกภาคส่วน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง