องค์การอนามัยโลก (WHO) เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2565 ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับโอมิครอนสายพันธุ์ลูกผสม “XE” ที่แพร่ติดต่อได้รวดเร็วกว่าไวรัสโคโรนา 2019 ทุกสายพันธุ์ที่เราเคยประสบกันมา (ภาพ 3) ปรับปรุง 3/4/2565 เวลา 11:39 “XE” เป็นสายพันธุ์ลูกผสมระหว่างโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย “BA.1 & BA.2″ ไม่ใช่”เดลตาครอน” ซึ่งเป็นสายพันธุ์ลูกผสมระหว่าง “เดลตา & โอมิครอน”
WHO ยังไม่ตั้งชื่อ “XE” อย่างเป็นทางการจนกว่า “XE” จะแสดงอาการทางคลินิกที่รุนแรงแตกต่างไปจากสายพันธุ์อื่นอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับสายพันธุ์ลูกผสม “เดลตาครอน” หรือ “XD” นั้น WHO ให้ข้อมูลว่าไม่พบการระบาดที่รวดเร็ว (transmissibility) และอาการที่รุนแรง (severity) อย่างที่เคยกังวลแต่ประการใด

ล่าสุด ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดีได้ตรวจพบสายพันธุ์ลูกผสม “XE” ด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมจากตัวอย่างสวอปผู้ติดเชื้อชาวไทย 1 ราย (วิเคราะห์กำหนดสายพันธุ์ด้วยโปรแกรมประยุกต์ “PANGOLIN” และ “NEXTCLADE” และซับมิทขึ้นไปแชร์บนฐานข้อมูลโควิดโลก “GISAID”) จากการติดตามสอบถามแพทย์ผู้รักษาทราบว่าเป็นผู้ติดเชื้อในกลุ่ม “สีเขียว” มีอาการเล็กน้อย ปัจจุบันหายจากอาการโควิดแล้ว มีการสุ่มตรวจ ATK คนรอบข้างไม่พบใครติดเชื้อ
ตัวอย่างอีกจำนวนหนึ่งที่ถูกส่งมาตรวจกรอง (screening) ค้นหาสายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา 2019 อย่างรวดเร็วภายใน 24-48 ชั่วโมงเพื่อสนับสนุนการรักษาโควิด-19 แบบมุ่งเป้า (Precision medicine) ด้วยเทคโนโลยี “Massarray Genotyping” ซึ่งเป็นการตรวจรหัสพันธุกรรม 40 ตำแหน่งกลายพันธุ์สำคัญบนจีโนมของไวรัสโคโรนา 2019 โดยสามารถตรวจได้รวดเร็วและประหยัดกว่าการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม 3 หมื่นตำแหน่ง ได้พบสายพันธุ์ลูกผสม “เดลตาครอน (เดลตา & โอมิครอน)” อีก 1 ราย ซึ่งยังคงต้องยืนยันด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมแบบละเอียดอีกครั้งหนึ่ง(ภาพ 2)

โอมิครอนสายพันธุ์ลูกผสม “XE” พบครั้งแรกในสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2565 โดยมีการถอดรหัสพันุกรรมทั้งจีโนมและอัปโหลดขึ้นไปแชร์ไว้บนฐานข้อมูลโควิด-19 โลกแล้วมากกว่า 600 ตัวอย่าง WHO ประเมินว่าสายพันธุ์ลูกผสม “XE” มีอัตราการแพร่ระบาด (growth advantage) เหนือกว่า BA.2 ถึง 10% อย่างไรก็ตามยังต้องรอข้อมูลจากทั่วโลกที่ร่วมด้วยช่วยกันถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมอีกระยะหนึ่งเพื่อยืนยัน”(ภาพ 1,3)
ตามรายงานของสำนักงานบริการสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร (UK Health Services Agency) หรือ “UKHSA” ยืนยันเช่นเดียวกันว่าสายพันธุ์ลูกผสม “XE” สามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่า “BA.2” ประมาณ 10% และแพร่ได้รวดเร็วกว่าโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม (B.1.1.529) ถึง 43%

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ซูซาน ฮอปกิ้นส์ หัวหน้าที่ปรึกษาทางการแพทย์ของ UKHSA กล่าวว่าการเกิดสายพันธุ์ลูกผสมไม่ใช่เรื่องแปลกและมักจะสูญพันธุ์ไปเอง “อย่างรวดเร็ว” เนื่องจากไม่ฟิตกับสิ่งแวดล้อมเหมือนสายพันธุ์ทั่วไป และเนื่องจากจำนวนของ “XE” ที่ถูกถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมยังไม่มาก การประเมินความรวดเร็วของการระบาดอาจจะคลาดเคลื่อนได้
ผู้เชี่ยวชาญจาก WHO และ UKHSA ประเมินว่าต้องอาศัยเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสายพันธุ์ลูกผสม “XE” จะกลายเป็นคลื่นระลอกใหม่ที่ระบาดไปทั่วโลกและเข้ามาแทนที่ BA.2 ได้หรือไม่
ข้อมูล : คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี faculty of medicine ramathibodi hospital