เร่งแก้ปัญหาส่งออกผลไม้ไปจีน – ขยายตลาดสู่ตะวันออกกลาง รองรับผลผลิตปีนี้ ที่จะเพิ่มขึ้น!!

มูลค่าการส่งออกผลไม้ไทยปี2564 มีมูลค่ากว่า 2.04 แสนล้านบาท ปริมาณกว่า 2.75 ล้านตัน โดยเฉพาะส่งออกไปจีน มีมูลค่าสูงกว่า 1.633 แสนล้านบาท ปริมาณกว่า 2.2 ล้านตัน หรือกว่า80% ของการส่งออกทั้งหมด จีนจึงเป็นตลาดหลักเบอร์ 1 ของการส่งออกผลไม้ไทยทั้งแบบสดและแปรรูป ผลไม้ไทยที่เป็นที่นิยมในจีน อย่าง ทุเรียน มังคุด ลำไย มะม่วง เงาะ

อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมาได้เกิดปัญหากับการส่งออกผลไม้ไทยไปจีน โดยเฉพาะปัญหาจากนโยบาย Zero-COVID ของจีน ที่มีการตรวจตราผลไม้อย่างเข้มงวดตามด่านนำเข้าหลายแห่ง จนรถขนส่งผลไม้ไทยที่รอตรวจสอบต้องจอดตกค้างที่บริเวณด่านชายแดนจีนท่ามกลางสภาพจราจรติดขัดในลักษณะคอขวด จอดรถรอตรวจเป็นเวลาหลายวัน ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อผลไม้ที่เป็นผลไม้สด โดยปัญหานี้เกรงกันว่าจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผลไม้ยอดนิยมส่งออกของไทยที่ปีนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลผลผลิตออกสู่ตลาดบางแล้ว

ปัญหาส่งออกผลไม้ไทยไปจีน ในยุคโควิดระบาด

การส่งออกผลไม้ไทยไปจีน ทั้งแบบสด แช่แข็ง แห้ง แปรรูป มีทั้ง3 ทาง ทางเรือ 51% ทางบก48% และทางอากาศโดยเครื่องบิน 0.54% แต่ที่ผู้ส่งออกไทยนิยมมากขึ้นเรื่อยๆคือทางบก เนื่องจากต้นทุนขนส่งถูกกว่า ถนนเชื่อมต่อระหว่างประเทศมีมากขึ้น และระยะทางเดินทางที่เร็วกว่าทางเรือ โดยทางบกใช้ 4 เส้นทางหลักทางภาคเหนือและอีสาน ผ่านไปยังลาวและเวียดนาม มุ่งสู่ 4ด่านชายแดนที่จีนอนุญาตให้เป็นด่านนำเข้าทางบกสำหรับสินค้าจากประเทศในอาเซียน คือด่านโหยวอี้กว่าน ด่านโมฮาน ด่านตงซิง และด่านรถไฟผิงเสียง

ทว่านับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ทางการจีนใช้นโยบาย Zero-​Covid การตรวจสินค้านำเข้าทางบกจึงถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดถึงขั้นเปิดตรวจสอบทุกตู้สินค้า รวมทั้งจำกัดปริมาณการนำเข้า รับสินค้าเพียงวันละ100 ตู้ สัดส่วนของผู้ส่งออกผลไม้ไทยสามารถส่งเข้าไปได้เพียง 20 ตู้/วันเท่านั้น ขณะที่สินค้าเวียดนามไม่เกิน 80 ตู้/วัน จึงทำให้ผู้ส่งผลไม้ไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง รถขนส่งผลไม้ไทยตกค้างที่ชายแดนจีนเป็นจำนวนมากนานนับเดือน ในส่วนของผลไม้สดจึงเน่าเสียต้องทิ้งไป ผู้ประกอบการส่งออกจึงขาดทุนอย่างมาก

ภาครัฐ เร่งแก้ปัญหาต่อเนื่อง 

ที่ผ่านมารัฐบาล โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศและทุกหน่วยงานเกี่ยวข้องบูรณาการเร่งแก้ไขปัญหานี้ โดยเน้นไปที่การเจรจากับทางการจีนเพื่อขอร่นขั้นตอนการตรวจสินค้า ดังนี้

1.ขอให้ล้งหรือผู้ประกอบรับซื้อผลไม้ไทยเพื่อนำไปส่งขายต่อ ที่ผ่านกระบวนการอบรมหลักสูตรล้งปลอดโควิด-19 มี GMP Plus รับรอง ซึ่งอบรมไปแล้วกว่า 400 แห่ง ให้สามารถผ่านด่านจีนได้โดยไม่ต้องเปิดตรวจสอบโรคทุกตู้สินค้า

2.การขนส่งบนเส้นทางรถไฟจีน-ลาวโดยการปิดตู้ที่ประเทศลาว และส่งไปเมืองคุนหมิงของจีนโดยไม่ต้องแวะตรวจที่ด่านโมฮาน เพื่อให้สามารถส่งทุเรียน ผลไม้ไทยที่เป็นที่นิยมอันดับหนึ่งของชาวจีนและผลไม้เศรษฐกิจอื่น ๆ ทางรางได้ตั้งแต่เดือนมีนาคมปี2565 นี้ 3.เสนอให้มีการประชุมหารือกับประเทศจีน ลาวและเวียดนามเพื่อตกลงมาตรการร่วมกันเรื่อง protocol หรือข้อกำหนดมาตรฐานในการถ่ายข้อมูล การสื่อสารในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ในการเปิด-ปิดด่านชายแดนต่าง ๆ

4.เสนอให้ด่านจีนมี Green Lane สำหรับผลไม้ไทยเป็นการเฉพาะ จะทำให้การขนส่งและตรวจตราคล่องตัวขึ้น

การเร่งแก้ปัญหาของภาครัฐ เริ่มเห็นผล

การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ของภาครัฐ เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมแล้วในบางส่วน เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่เพิ่งผ่านมา มีการขนส่งทุเรียน 2 ตู้คอนเทนเนอร์และมะพร้าว 1 ตู้คอนเทนเนอร์ทางรถไฟ จาก จ.ระยอง ไปยังสถานีรถไฟหนองคาย เพื่อตรวจและออกใบรับรองตรวจโรคพืชไฟโต ตามพิธีสารผลไม้ไทย-จีน จากนั้นขบวนรถไฟได้ขนส่งผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ข้ามแม่น้ำโขงไปยังท่านาแล้ง สปป.ลาว ก่อนยกขึ้นหัวลากไปขึ้นรถไฟลาว-จีน ที่สถานีเวียงจันทน์ ก่อนขนส่งไปสถานีรถไฟนาเตย แล้วยกขึ้นรถหัวลากเดินทางไปด่านบ่อเตน ข้ามพรมแดนลาว-จีน ไปตรวจปล่อยที่ด่านโมฮาน ในมณฑลยูนนานของจีน การขนส่งเช่นนี้เป็นระบบการขนส่งหลายรูปแบบ หรือMulti Modal Transportation ที่เริ่มดำเนินการเป็นครั้งแรก เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากรณีที่ยังไม่สามารถขนส่งผลไม้ทางรถไฟจากลาวข้ามแดนไปด่านรถไฟโมฮานโดยตรง เนื่องจากจีนกำลังก่อสร้างอาคารและลานตรวจโรคพืช แห่งใหม่ที่ด่านรถไฟโมฮาน จึงต้องไปใช้การตรวจโรคพืช ที่ด่านโมฮานด่านเดิมไปพรางก่อน โดยหลังการส่งผลไม้จากภาคตะวันออกแล้ว ยังมีการส่งออกขนุนจากภาคใต้  ลำไยจากภาคเหนือ ด้วยวิธีขนส่งเดียวกันตามมาด้วย

ด้านคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ หรือ Fruit Board ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน ได้มอบหมายให้นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารมว.เกษตรฯ เป็นประธานการประชุมFruit Board ครั้งที่ 2/2565 เมื่อวันที่7 เมษายน 2565 ที่ประชุมยังเป็นห่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในจีนระลอกใหม่ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการส่งออกผลไม้ของไทย จึงขอให้ผู้ส่งออกเพิ่มการขนส่งทางเรือให้มากขึ้นที่เป็น 55 % และการขนส่งทางรถไฟสายจีน-ลาวในระบบผสมราง-รถ เป็นทางเลือกเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยงของการขนส่งทางรถที่มีความไม่แน่นอนของด่านทางรถที่อาจปิดได้ทุกเมื่อหากเกิดการระบาดของโควิดในพื้นที่ใกล้เคียง รวมทั้งเห็นควรให้เร่งรณรงค์การบริโภคผลไม้ภายในประเทศให้มากขึ้นจาก 30 % เป็น 40 % เพื่อช่วยสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ทั่วประเทศ

นายกฯ แนะ เส้นทาง ไทย-ลาว-เวียดนาม-จีน ขนส่งผลไม้แบบผสมรถ-เรือ เพิ่มอีกช่องทาง

การที่ Fruit Board แนะให้ผู้ประกอบการส่งออกผลไม้ไปจีน ใช้การขนส่งทางเรือเพิ่มขึ้น จากเดิมการขนส่งผลไม้ไปจีนที่ปี2564 มีกว่า 2.75 ล้านตัน แบ่งเป็นทางบก 48% ทางเรือ 51% ให้เพิ่มทางเรือเป็น 55% นั้น ก็เพื่อชดเชยทางบกที่ยังมีปัญหาและมีความเสี่ยงที่ด่านทางบกของจีนอาจปิดได้หากพบการระบาดของโควิดในพื้นที่ด่านและใกล้เคียง ซึ่งการขนส่งทางเรือนั้นมีข้อดีอยู่หลายประการ อย่าง ค่าระวางถูกกว่า ขนสินค้าได้คราวละมากกว่า หากเทียบกับการขนส่งแบบอื่น แต่ทางเรือก็มีข้อด้อยกว่าด้านอื่น อย่าง ใช้เวลาขนส่งนานกว่า เพราะต้องใช้เส้นทางเดินเรือทางทะเลอ้อมไปยังทางใต้ผ่านสิงคโปร์มุ่งสู่ท่าเรือของจีน

นอกจากนี้ ที่ผ่านมายังประสบปัญหาเรื่องตู้ขนส่งสินค้าไม่เพียงพอ เรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่เข้ามาเทียบท่าเรือไทยน้อย พื้นทึ่ระวางสินค้าจึงไม่เพียงพอ โดยปัญหานี้ทางภาครัฐได้ประสานแก้ไขจนปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้าคลี่คลาย มีตู้มากขึ้นและค่าระวางเรือยังทรง ส่วนเรือขนส่งขนาดใหญ่ก็มีเข้ามาเพิ่มขึ้น พร้อมหามาตรการอนุญาตให้ถ่ายลำเพื่อจูงใจให้เรือใหญ่เข้ามาและนำตู้เข้ามาได้จะช่วยให้มีตู้ส่งออกไปได้มากขึ้นอีก ดังนั้นการแก้ปัญหาดังกล่าวจะสามารถเพิ่มการขนส่งทางเรือได้มากขึ้นและจะช่วยแก้ปัญหาการส่งผลไม้ไปจีนได้มากขึ้นด้วย

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พอใจการทดสอบขนส่งทุเรียน 2 ตู้คอนเทนเนอร์ และมะพร้าวจำนวน 1 ตู้คอนเทนเนอร์ทางรถไฟผ่่าน สปป.ลาวไปจีน พร้อมสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าประสานการทำงานร่วมกับ สปป.ลาว และเวียดนามในโครงการขนส่งผ่านท่าเรือหวุงอ๋างทางด่านนครพนม เพราะเส้นทางขนส่งผลไม้และสินค้าเกษตรนึ้มีระยะทางไม่ถึง 300 กิโลเมตร สินค้าสามารถส่งออกจากด่านนครพนม ของไทย ไปยังด่านท่าแขก ของ สปป.ลาว เข้าสู่เวียดนามที่ด่านชายแดนนาเพ้า-จาลอ จังหวัดกว๋างบิ่ญ ต่อไปยังท่าเรือน้ำลึกหวุงอ๋าง จังหวัดฮาติงห์ ของเวียดนาม จากนั้นนำสินค้าลงเรือไปยังจุดหมายปลายทางคือทางเรือต่างๆของจีน เส้นทางนี้จะย่นระยะทางและเวลาในการขนส่งได้ เป็นไปตามนโยบายอีสานเกตเวย์และระเบียงเศรษฐกิจอีสาน ภายใต้การบริหารโลจิสติกส์เกษตรของรัฐบาล

นอกจากการเร่งแก้ไขปัญหาขนส่งผลไม้ไปจีนแล้ว ภาครัฐยังหาช่องทางขยายตลาด โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง อย่าง ซาอุดีอารเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีความต้องการผลไม้ไทยอย่างมากเช่นกัน เพื่อเป็นการรองรับการส่งออกไปจีนที่ยังมีปัญหา และเป็นการเพิ่มช่องทางระบายสินค้าจากฤดูกาลผลิตใหม่ ที่คาดกันว่า ผลผลิตผลไม้ปี 2565 นึ้ จะมีปริมาณเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือจะมีปริมาณอยู่ราว 5,426,555 ตัน ในจำนวนนี้จะแบ่งออกจำหน่ายในประเทศ 30% และส่งออกตลาดต่างประเทศ 70%

ข่าวที่เกี่ยวข้อง