ก.พลังงานขอความร่วมมือ”โรงกลั่นฯ ”ลดผลกระทบประชาชน

นายสมภพ พัฒนอริยางกูล โฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า  กระแสข่าวค่าการกลั่นน้ำมันที่สูงถึง 8 บาทต่อลิตรนั้น จากการตรวจสอบโครงสร้างค่าการกลั่นน้ำมันของประเทศไทย โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) พบค่าการกลั่นเฉลี่ย 5 เดือน (ม.ค. – พ.ค. 2565)  อยู่ที่ 3.27 บาทต่อลิตร และในเดือนพฤษภาคม ค่าการกลั่นอยู่ที่ 5.20 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงขึ้นจากในสภาวะปรกติก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่เคยอยู่ที่ประมาณ 2.00 – 2.50 บาท

แต่ค่าการกลั่นที่สูงขึ้นนี้ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับค่าการกลั่นในตลาดโลก โดยเริ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด และปัญหาความไม่สงบระหว่างรัสเซีย – ยูเครน

สำหรับค่าการกลั่นน้ำมัน คือ กำไรเบื้องต้นของโรงกลั่นน้ำมันก่อนหักค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าบำรุงรักษาโรงกลั่น เป็นต้น โดยกำไรของโรงกลั่น ยึดโยงกับต้นทุนราคาน้ำมันดิบและราคาขายน้ำมันสำเร็จรูปที่กลั่นได้ ปัจจุบันทางกระทรวงพลังงานก็อยู่ระหว่างการหารือเพื่อขอความร่วมมือกับโรงกลั่นในการบริหารจัดการสำหรับช่วงที่เกิดวิกฤตด้านราคาพลังงานเช่นในปัจจุบัน

การคำนวณค่าการกลั่นน้ำมันของกระทรวงพลังงานที่มีการเผยแพร่ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้อ้างอิงในภาพรวม ในส่วนของค่าการกลั่นเป็นการบริหารจัดการธุรกิจของแต่ละโรงกลั่น

ทั้งนี้ สนพ. มีวิธีการคำนวณจากส่วนต่างของราคา ณ โรงกลั่น (เฉพาะส่วนเชื้อเพลิงฟอสซิล) ของน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ย ถ่วงน้ำหนักด้วยสัดส่วนของปริมาณการผลิตของประเทศ กับราคาน้ำมันดิบเฉลี่ย 3 แหล่ง (น้ำมันดิบดูไบ โอมาน และทาปิส) แต่การนำเอาราคาน้ำมันดิบ มาหักจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปชนิดเดียวโดยตรง ไม่สามารถนำมาคำนวณเป็นค่าการกลั่นได้ เนื่องจากโรงกลั่นมีผลิตภัณฑ์หลายประเภทที่ได้จากน้ำมันดิบซึ่งมีราคาต่างกัน

ที่มีการเผยแพร่ค่าการกลั่นน้ำมัน ซึ่งเผยแพร่หรือส่งต่ออยู่นี้ น่าจะเกิดจากความคลาดเคลื่อนในการคำนวณค่าการกลั่น เพราะจากการตรวจสอบค่าการกลั่นที่คำนวณโดย สนพ. ในเดือนพฤษภาคม 2565 จะอยู่ที่ประมาณ 5.20 บาทต่อลิตร และช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ค่าการกลั่นน้ำมันเฉลี่ยในระดับปกติ จะอยู่ที่ประมาณ 2.00 – 2.50 บาทต่อลิตร

สำหรับในช่วงปี 2563 – 2564 ค่าการกลั่นน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 0.70 บาทต่อลิตร และ 0.89 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าระดับปกติ เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ทำให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันลดลง เนื่องจากมีการจำกัดการเดินทาง ส่งผลให้ค่าการกลั่นอ่อนตัวอยู่ในระดับที่ต่ำ จึงไม่สามารถนำข้อมูลในช่วงปี 2563        และ 2564 มาเปรียบเทียบได้เนื่องจากเป็นสภาวะที่ไม่ปกติ และอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการสื่อความได้

สำหรับในสถานการณ์ปัจจุบัน ค่าการกลั่นที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันอ้างอิงของทุกผลิตภัณฑ์ ปรับสูงขึ้น จากความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น หลังจากที่หลายประเทศทั่วโลกผ่อนคลายมาตรการป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อ COVID -19 และความตึงเครียดทางการเมืองจากสงครามระหว่างประเทศรัสเซียและประเทศยูเครน ซึ่งนำไปสู่การที่หลายประเทศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลก ทำให้อุปทานในตลาดตึงตัว ประกอบกับประเทศจีนมีการลดการส่งออกเพื่อสำรองไว้ใช้ในประเทศ

“ค่าการกลั่นที่สูงขึ้นนี้ เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่เพียงแต่เฉพาะประเทศไทย  และที่ผ่านมา รัฐบาลก็พยายามอย่างสุดความสามารถในการใช้กลไกต่างๆ เพื่อช่วยลดภาระประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูงขึ้น และขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการหารือ เพื่อขอความร่วมมือกับโรงกลั่น ในการบริหารจัดการสำหรับช่วงที่เกิดวิกฤตด้านราคาพลังงานเช่นในปัจจุบัน เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน” นายสมภพ กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง