เปิดความจริงอีกด้าน ว่าด้วยเรื่อง “ค่าการกลั่นและราคาน้ำมันแพง “
กรณีมีการเผยแพร่ข้อมูล การกลั่นน้ำมันดิบให้เป็นน้ำมันสำเร็จรูป หรือน้ำมันที่พร้อมใช้ มีค่าการกลั่นสูงถึง 8.56 บาท/ลิตร หรือสูงเกินความเป็นจริงเกือบ 10 เท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกแพงตามไปด้วย

ขณะเดียวกันกระทรวงพลังงาน ได้มีข้อมูลอีกชุดที่บอกถึงวิธีการคำนวณค่าการกลั่นที่ถูกต้อง ทำให้ได้ค่าการกลั่นไม่ได้สูงถึง 8.56 บาท/ลิตร ตามที่มีการกล่าวอ้าง อีกทั้งการเทียบราคาการกลั่นช่วงการระบาดของโควิด ซึ่งเป็นช่วงไม่ปกติก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน รวมทั้งที่มาของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอันเป็นปัญหาที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญ และแนวทางของรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนในยามวิกฤตราคาน้ำมันและพลังงานของโลกพุ่งสูง
ที่มาของค่าการกลั่น อ้าง สูงเกินจริงเกือบ10เท่า
เรื่องนี้เกิดขึ้นมาจากนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับวิกฤตพลังงานและราคาน้ำมัน โดยเน้นสาเหตุของราคาน้ำมันแพงมาจากค่าการกลั่นที่สูงขึ้น พร้อมยกตัวอย่างค่าการกลั่น ปี 2563 -2565 ที่ได้มาจากสูตรคำนวณ ราคาน้ำมันสำเร็จรูป ลบด้วย ราคาน้ำมันดิบจากแหล่งดูไบแหล่งเดียว แล้วได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นต้นทุนการกลั่นต่อลิตร ( ราคาน้ำมันสำเร็จรูป - ราคาน้ำมันดิบดูไบ = ต้นทุนการกลั่น) โดย 10มิ.ย.2563 คำนวณต้นทุนการกลั่นได้ที่ 89 สตางค์/ลิตร, 10 มิ.ย.2564 ได้ต้นทุนการกลั่น 87 สตางค์ /ลิตร และ 10 มิ.ย. 2565 ได้ต้นทุนการกลั่นอยู่ที่ 8.56 บาท/ลิตร

จากตัวเลขเมื่อ 10 มิ.ย.2565 นี่เองที่นายกรณ์ สรุปว่าค่าการกลั่นสูงขึ้นเกือบ 10 เท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี2564 ส่งผลทำให้ส่วนต่างกำไรของเหล่าโรงกลั่นไทยเพิ่มเกือบ 10 เท่า แต่ประชาชนต้องแบกรับราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่สูงขึ้น
*กระทรวงพลังงาน แจง ค่าการกลั่นเฉลี่ย 5 เดือน 3.27 บาท/ลิตร *
ด้านกระทรวงพลังงาน โดยสมภพ พัฒนอริยางกูล โฆษกกระทรวง อธิบายว่า จากการตรวจสอบโครงสร้างค่าการกลั่นน้ำมันของไทย โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน หรือ สนพ. ได้ค่าการกลั่นเฉลี่ย 5 เดือน ระหว่าง ม.ค. – พ.ค. 2565 อยู่ที่ 3.27 บาท/ลิตร เท่านั้น โดยเดือนพฤษภาคม ค่าการกลั่นอยู่ที่ 5.20 บาท /ลิตร สูงขึ้นจากสภาวะปกติก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เคยอยู่ที่ประมาณ 2 – 2.5 บาท /ลิตร แต่ค่าการกลั่นที่สูงขึ้นนี้ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับค่าการกลั่นในตลาดโลก ที่เริ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤตโควิดและปัญหาความไม่สงบระหว่างรัสเซีย – ยูเครน
* สูตรคำนวณค่าการกลั่นอย่างถูกต้องตามแบบของ สนพ.*
ในส่วนของ การคำนวณค่าการกลั่นน้ำมัน สนพ. มีวิธีการคำนวณจากส่วนต่างของราคา ณ โรงกลั่น (เฉพาะส่วนเชื้อเพลิงฟอสซิล) ของน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักด้วยสัดส่วนของปริมาณการผลิตของประเทศ กับราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยจาก 3 แหล่ง คือน้ำมันดิบดูไบ โอมาน และทาปิส การนำเอาราคาน้ำมันดิบจากแหล่งเดียวมาหักจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปโดยตรงไม่สามารถนำมาคำนวณเป็นค่าการกลั่นได้ เนื่องจากโรงกลั่นมีผลิตภัณฑ์หลายประเภทที่ได้จากน้ำมันดิบแต่ละแหล่ง เช่น กลั้นออกมาแล้วได้เป็น เบนซิน ดีเซล น้ำมันเตา น้ำมันก๊าช ก๊าชหุงต้ม ยางมะตอย ฯ แตกต่างกันออกไปตามแหล่งน้ำมันดิบแต่ละแหล่ง ดังนั้นที่มีค่าการกลั่นน้ำมันออกมาจากบางฝ่ายซึ่งเผยแพร่หรือส่งต่ออยู่ในขณะนี้ น่าจะเกิดจากความเข้าใจผิดต่อการคำนวณค่าการกลั่น

” อีกอย่าง ในช่วงปี 2563 – 2564 ค่าการกลั่นน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 0.70 บาทต่อลิตร และ 0.89 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าระดับปกติ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง จากการจำกัดการเดินทาง ส่งผลให้ค่าการกลั่นอ่อนตัวอยู่ในระดับที่ต่ำ จึงไม่สามารถนำข้อมูลในช่วงปี 2563 และ 2564 มาเปรียบเทียบได้ เนื่องจากเป็นสภาวะที่ไม่ปกติและอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการสื่อความได้ “
ทั้งนี้ช่วงปี 2563 -2564 ที่ค่าการกลั่นอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ โรงกลั่นต้องแบกรับต้นทุน จนขาดทุน จึงถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะหากโรงกลั่นแบกรับการขาดทุนจนกิจการเดินต่อไปไม่ได้ ก็จะกระทบกำลังการผลิต และกระทบต่อพลังงานทั้งระบบได้
* ไม่เฉพาะไทย ค่าการกลั่นน้ำมันทั่วโลกอยู่ในช่วงขาขึ้น *
“ส่วนสถานการณ์ปัจจุบัน ค่าการกลั่นที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันอ้างอิงของทุกผลิตภัณฑ์ปรับสูงขึ้นจากความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น หลังจากหลายประเทศทั่วโลกผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 มีการเดินทางสูงขึ้น และความตึงเครียดจากสงครามรัสเซีย- ยูเครน นำไปสู่การที่หลายประเทศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลกทำให้อุปทานในตลาดตึงตัว ประกอบกับประเทศจีนลดการส่งออกน้ำมันเพื่อสำรองไว้ใช้ในประเทศ ดังนั้นค่าการกลั่นที่สูงขึ้นนี้ เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่เพียงแต่เฉพาะประเทศไทย”
* รัฐบาลแทรกแซงค่าการกลั่นได้ยาก *
ส่วนข้อเสนอ ให้รัฐบาลเข้าไปควบคุมค่าการกลั่นของโรงกลั่นในประเทศนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เพราะค่าการกลั่นคือกำไรขั้นต้นของโรงกลั่น จะถูกจะแพงก็ขึ้นอยู่กับตลาด นั่นหมายถึงว่า ยิ่งมีความต้องการน้ำมันสำเร็จรูปมาก ค่าการกลั่นก็แพงตามไปด้วย และยังมีบางโรงกลั่นได้ทำประกันความเสี่ยงของราคาน้ำมัน หรือHedging เอาไว้ อธิบายแบบง่ายๆคือ สมมติว่าโรงกลั่นต้องการขายน้ำมันสำเร็จรูป โดยเอาค่าการกลั่นที่ 5 - 10 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ถ้าค่าการกลั่นอยู่ในช่วงนี้ ก็จบไป โรงกลั่นจ่ายเบี้ยประกันฟรี แต่ถ้าช่วงไหนราคาค่าการกลั่นเหลือ 3 เหรียญฯ บริษัทประกันก็จะทบเงินให้โรงกลั่นกลายเป็น 5 เหรียญฯ โรงกลั่นก็จะได้กำไรเท่าเดิม ในทางกลับกันหากค่าการกลั่นพุ่งเกินราคาประกัน ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 20 กว่าเหรียญฯ โรงกลั่นก็ต้องจ่ายเงินส่วนต่างให้บริษัทประกัน นั่นหมายความว่า หากรัฐบาลเข้าไปแทรกแซงค่าการกลั่นให้ต่ำลง บริษัทประกันก็จะได้รับผลกระทบตามมา ซึ่งเชื่อว่าบริษัทประกันเหล่านั้นคงไม่ยอม และอาจตามมาด้วยการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลได้ แต่สมมติว่ารัฐบาลแทรกแซงราคาการกลั่นได้จริง ยอมเสียค่าชดเชยให้บริษัทประกันไปสัก 1 หมื่นล้านบาท สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือโรงกลั่นจะส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปทั้งหมดไปยังประเทศที่ให้ราคาสูงกว่า เนื่องจากธุรกิจการกลั่นน้ำมันเป็นธุรกิจเสรีอย่างมาก ผลที่จะตามมาคือ น้ำมันสำเร็จรูปในประเทศจะขาดแคลน ต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปอีก ราคาขายปลีกจะแพงกว่าเดิมอีก

* รัฐบาลยังเดินหน้าช่วยประชาชนในยามวิกฤตน้ำมัน- พลังงาน แพง *
แม้การเข้าไปแทรกแซง ค่าการกลั่นให้ต่ำลง เพื่อให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปหรือราคาน้ำมันขายปลีกลดลงตาม เป็นเรื่องเป็นไปได้ยาก แต่ขณะนี้รัฐบาลก็อยู่ระหว่างการหารือเพื่อขอความร่วมมือกับโรงกลั่นในการบริหารจัดการสำหรับช่วงที่เกิดวิกฤตด้านราคาพลังงานเช่นในปัจจุบันเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน นอกจากนี้ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามใช้กลไกต่างๆ เพื่อช่วยลดภาระประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูงขึ้นมาโดยตลอด เช่น การนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปตรึงราคาน้ำมันไม่ให้ขึ้นสูงมาได้ระยะหนึ่ง โดยเฉพาะดีเซล มีการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปตรึงราคาหลายรอบ ทั้งรอบไม่ให้เกิน 30 บาท/ ลิตร รอบไม่ให้เกิน 32 บาท/ลิตร และล่าสุดไม่ให้เกิน 35 บาท/ลิตร
ปลัดกระทรวงพลังงาน กุลิศ สมบัติศิริ บอกว่า จะตรึงราคาดีเซลไว้ที่ลิตรละไม่เกิน 35 บาท ไว้ได้ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน หากระหว่างนี้ราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกยังอยู่ในระดับ 170 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล ไม่ทะลุไปแตะระดับ 180 -190 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล น้ำมันดิบไม่เกิน 120 เหรียญฯ /บาร์เรล ส่วนเดือนกรกฎาคม จะมีมาตรการใหม่มาควบคุมราคาน้ำมัน ซึ่งจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป
ทั้งนี้ หากไม่มีการนำเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ไปตรึงราคาแล้วปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด ตอนนี้ราคาดีเซลอาจถึงลิตรละ 45 บาทไปแล้ว