ศ.กิตติคุณ นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทูลถวายปริญญาครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยมี ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดี และคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยร่วมในพิธี ณ พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
ในโอกาสนี้ นายกสภามหาวิทยาลัยเข้าเฝ้าถวายเครื่องสักการะ คณบดีคณะครุศาสตร์เข้าเฝ้าถวายสูจิบัตร อธิการบดีกราบทูลประกาศสดุดีเฉลิมพระเกียรติคุณ เนื่องในโอกาสที่สภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทูลถวายปริญญาครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ภายหลังจากการทูลถวายปริญญาครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แล้ว สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกประทานพระดำรัส

สภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการประชุมครั้งที่ 852 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2564 ได้พิจารณาเห็นพร้อมกันว่าสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงปรากฏพระกิตติคุณในทางครุศาสตร์เป็นอเนกปริยาย สมควรที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจักได้เชิดชูเฉลิมพระเกียรติคุณให้เป็นแบบอย่างในทางวิชาการสืบไป
โอกาสนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระสัมโมทนียกถา ความตอนหนึ่งว่า
“พระสงฆ์ทั้งหลายซึ่งเป็นสาวกของสมเด็จพระบรมครู ล้วนแล้วแต่มีหน้าที่เผยแผ่พระสัทธรรม หน้าที่นี้เองทำให้พระสงฆ์ทั้งหลาย มีหน้าที่เป็น ‘ครู’ อยู่ด้วย ไม่อาจจะแยกหน้าที่ของพระสงฆ์กับหน้าที่ของครูจากกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านเมืองไทยของเรานี้ หน้าที่ของพระสงฆ์หาใช่จะมีแต่หน้าที่ ในการสั่งสอนเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาเท่านั้น หากแต่ยังมีหน้าที่เป็นครูสอน ให้ความรู้ในวิชาต่าง ๆ แก่ประชาชน ดังเช่นในโบราณกาล กุลบุตรย่อมมีโอกาสได้รับการศึกษาอักขรสมัยและสรรพวิทยาในวัด โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้สอน แม้โรงเรียนในยุคเริ่มแรกแห่งการจัดตั้งโรงเรียนแบบสากลในสยาม ก็มักมีที่ตั้งเริ่มแรกในพระอารามต่าง ๆ โดยที่สุด แม้แต่การอุปสมบทในพระพุทธศาสนาอันนับว่าเป็นเขตขั้นการศึกษาอย่างสูงของชายไทย ยังเรียกว่า ‘การบวชเรียน’ ความในข้อนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า พระสงฆ์มีหน้าที่เป็นครูผู้ให้การศึกษา และวัดเป็นสถานที่แห่งการศึกษาตลอดมา
การที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยกย่องอาตมภาพในคราวนี้ อาตมภาพจึงไม่อาจรับไว้เป็นเกียรติคุณเฉพาะตน แต่จะขอรับไว้เป็นเกียรติคุณแห่งคณะสงฆ์ทั้งปวง ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นครูผู้ให้การศึกษามาแต่โบราณกาล ยังคงปฏิบัติอยู่ตราบปัจจุบัน และจะปฏิบัติต่อไปในอนาคตกาล
เมื่อท่านทั้งหลายและคณะมหาวิทยาลัย ได้พร้อมกันเห็นว่าอาตมภาพเป็นผู้สมควรแก่ปริญญาครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ อันมีเกียรติในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว ฉะนั้นแต่นี้ไป ขอจงจำอาตมภาพไว้ว่าเป็นภราดาผู้หนึ่ง ผู้หมายใจที่จะเห็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีเกียรติคุณรุ่งเรือง เป็นหลักเฉลิมพระนครสืบไป”
เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ทรงสอบได้เป็นเปรียญธรรม 6 ประโยค ทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาศาสนศาสตรบัณฑิตจากสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย และปริญญามหาบัณฑิตทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี จากมหาวิทยาลัยบานารัสฮินดู สาธารณรัฐอินเดีย ครั้นทรงสำเร็จการศึกษาบริบูรณ์แล้ว ได้เสด็จกลับมาทรงประกอบพระกรณีย์อันเกื้อกูลการศึกษาถ้วนทั่วทุกด้าน มีพระคุณลักษณะตระการเพียบพร้อมด้วยความเป็นครู นักวิชาการการศึกษา นักบริหารการศึกษา และนักพัฒนาการศึกษา อาทิ ทรงอุทิศพระองค์เป็นอาจารย์ประจำในสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย แม้ปัจจุบันก็ทรงสถิตที่นายกสภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ทรงพระนิพนธ์พระคติธรรมประทานแก่ศาสนิกชนอยู่เป็นเนืองนิจ ทั้งยังทรงส่งเสริมการอบรมทางพระพุทธศาสนาให้เกิดมีขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ทรงอนุเคราะห์สร้างสรรค์การศึกษาเรียนรู้ให้เกิดขึ้นทุก ๆ ด้าน รวมความว่าพระครุศาสตรกรณีย์มีมากพ้นที่จะพรรณนาประกาศพระเกียรติคุณได้ทั่วถ้วน สมดังสร้อยพระนามที่ว่า “กิตตินิรมลคุรุฐานียบัณฑิต” คือทรงเป็นบัณฑิตที่มีเกียรติประวัติผ่องแผ้วและตั้งอยู่ในฐานะของความเป็นครู

สภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ถวายปริญญาครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เพื่อจำหลักเป็นพยานเชิดชูพระเกียรติคุณ และจักได้เป็นอดุลยมังคลานุสสรณ อำนวยพรสิริสวัสดิพิพัฒน มงคลแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสืบไป