“กลยุทธ์ภาพใหญ่ 3 แกนหลัก ยกระดับความรุ่งเรือง สร้างอนาคตไทยให้ก้าวหน้า” ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ประกาศไป มาจากการศึกษาบทเรียนจากหลายรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศช่วงสั้นๆ ดำเนินนโยบายแก้ปัญหาความยากจนเฉพาะหน้า ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ มองว่า บางโครงการเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่บางโครงการไม่ใช่วิธีแก้้ปัญหาความยากจนได้อย่างยั่งยืน
ดังนั้นรัฐบาลจึงตั้งใจขับเคลื่อนกลยุทธ์ภาพใหญ่ 3 แกนหลักฯ เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืนและผลักดันให้ประเทศไทยก้าวข้ามพ้นกับดักรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง ตามเป้าหมายที่พลเอกประยุทธ์ ได้เคยประกาศเอาไว้
3 แกนหลักดังกล่าวคืองานสำคัญสามด้านที่รัฐบาลได้เริ่มมาและสำเร็จไปแล้วหลายส่วน จึงได้รวมรวบมานำเสนอต่อประชาชนให้เห็นเป็นกลยุทธ์ภาพใหญ่ 3 แกนที่จะต้องสานต่อให้เสร็จสิ้น เพราะเมื่อแต่ละด้านเสร็จสมบูรณ์จะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการกระจายความมั่งคั่งให้กับประชาชนคนไทยอย่างทั่วถึง
*ส่อง 3 แกนหลัก สร้างอนาคตประเทศดำเนินการไปถึงไหน มีอะไรบ้าง*
แกนที่1 โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
เป็นการขับเคลื่อนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นับตั้งแต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีจนถึงปัจจุบัน โครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งรถไฟ รถไฟฟ้า ถนน สนามบิน ท่าเรือ ได้รับการผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างมากมาย ทั้งที่เสร็จเปิดใช้งานได้แล้ว และที่อยู่ในระหว่างดำเนินการก่อสร้าง รวมถึงมีการอนุมัติโครง อยู่ระหว่างการจัดหาผู้รับเหมา อยู่ระหว่างการอนุมัติ และอยู่ระหว่างการศึกษาแผนงาน
รถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีการก่อสร้างและอนุมัติโครงการไปแล้ว 11 เส้นทาง 204.9 กม.และยังมีอีก 2 สาย คือสายสีน้ำตาล และสายสีเทา ที่กำลังอยู่ระหว่างการอนุมัติ
รถไฟฟ้าความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ -หนองคาย เฟสแรก กรุงเทพฯ-นครราชสีมา สร้างไปแล้วกว่า 12% ปี จะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2570 หรืออีก 5ปีข้างหน้า ส่วนเฟส2 นครราชสีมา-หนองคาย จะเริ่มก่อสร้างได้ปีหน้า จะสร้างเสร็จและวิ่งให้บริการได้ในปี 2571- 2572
อีกสายคือรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ล่าสุดการรถไฟแห่งประเทศไทย สามารถส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้เอกชนแล้ว100% จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในเดือนตุลาคมปีนี้ นอกจากนี้ยังมีสายภาคใต้และสายภาคเหนือ ที่อยู่ในแผนก่อสร้างในอนาคต
รถไฟทางคู่ 7 เส้นทาง สร้างสำเร็จไปแล้ว 2 เส้นทาง กำลังก่อสร้าง 5 เส้นทาง และเตรียมสร้างส่วนต่อขยายทั้ง 7 เส้นทาง โดยยังไม่นับรวมรถไฟทางคู่ตามแผนMR-MAP หรือแผนโครงข่ายถนนควบระบบราง 10 เส้นทางทั่วประเทศ ที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคตอันใกล้นี้
ถนน นอกจากสร้างเส้นทางใหม่และขยายช่องทางจราจรทั่วประเทศสำเร็จรวมแล้วกว่า 12,00 กม. รัฐบาลยังเดินหน้าสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ ที่มีทั้งส่วนต่อขยายและเส้นทางใหม่รวมอย่างน้อย 7เส้นทางให้เป็นโครงข่ายคมนาคมขนส่งเชื่อมต่อในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านภูมิภาคอาเซียน โดยยังไม่รวมมอเตอร์เวย์ตามแผนMR-MAP ที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคตอันใกล้นี้
สนามบิน นอกจากสนามบินเบตงที่เพิ่งเปิดให้บริการไปไม่นาน ยังมีโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 , โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองระยะที่ 3 , โครงการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นเมืองการบินภาคตะวันออก รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือEEC , โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต ระยะที่ 2 , ก่อสร้างปรับปรุงสนามบินกระบี่ หาดใหญ่ เชียงใหม่ แม่สอด ขอนแก่น เป็นต้น
ท่าเรือ รัฐบาลได้พัฒนาท่าเรือหลายแห่ง เช่น โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 เพื่อให้เทียบชั้นท่าเรือระดับโลก, โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 , พัฒนาและปรับปรุงท่าเรือกรุงเทพฯ หรือท่าเรือคลองเตย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ เป็นต้น
โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ทั้งหมด เมื่อสร้างสำเร็จจะเชื่อมต่อเป็นโครงข่ายทั่วประเทศและเชื่อมต่อไปยังประเทศในภูมิภาคอาเซียนรวมถึงประเทศอื่นนอกภูมิภาคที่ต่อเนื่องกัน นำมาซึ่งการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจ ลดต้นทุนการขนส่งสินค้า การคมนาคมของประชาชนสะดวกรวดเร็วขึ้น รายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชนสูงขึ้นจากการที่พื้นที่ตามแนวโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ถูกพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งอุตสาหกรรม แหล่งธุรกิจต่างๆ ส่งผลให้เกิดการจ้างงาน การผลิต การค้าขาย ทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
แกนที่2 อุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า รัฐบาลมีเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าอาเซียนและศูนย์กลางสำคัญแห่งหนึ่งของโลกภายใน 3-4ปีข้างหน้า โดยได้เริ่มสนับสนุนค่ายรถต่างประเทศให้มาลงทุนใช้ไทยเป็นฐานผลิตและจำหน่าย ผ่านมาตรการทางภาษีและการสนับสนุนในด้านต่างๆ ขณะนี้มีค่ายรถจากจีนและญี่ปุ่นไม่น้อยกว่า 4 ค่าย เข้าร่วมโครงการของรัฐบาลในการใช้ไทยเป็นฐานผลิตและยังจะมีอีกหลายค่ายทั้งจากจีน ญี่ปุ่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา จะเข้าร่วมต่อไป
การที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากทำให้เกิดการจ้างงานนำมาซึ่งรายได้ของประชาชนแล้ว ยังทำให้ประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจัดเก็บภาษีจากค่ายรถและทำให้คนไทยได้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นเทรนด์การใช้ยานยนต์ใหม่ของโลกในราคาที่ถูกลง พร้อมทั้งยังช่วยให้อุตสาหกรรมรถยนตร์ของไทยสามารถปรับตัวเรียนรู้ไปกับเทคโนโลยีใหม่ๆที่เป็นเทรนด์ของโลกได้ด้วย
ส่วนอุตสาหกรรมอื่น รัฐบาลก็มีเข็มมุ่งชัดเจนในการส่งเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(EEC) ที่มุ่งเน้น 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า ท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ หุ่นยนต์ การบินและโลจิสติก ดิจิทัล การแพทย์ครบวงจร ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาล ทั้งการจ้างงานจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมกลุ่มเป้าหมายรวมไม่น้อยกว่า 500,000 ตำแหน่ง/คน ภายใน5ปีจากนี้ รวมถึงเกิดการค้าการลงทุนที่จะเป็นกลไกหลักผลักดันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างเข็มแข็งไม่น้อยกว่า 4.5-5% ต่อปี
ขณะเดียวกันระเบียงเศรษฐกิจ 4 ภาค ที่เพิ่งประกาศไปเมื่อเร็วๆนี้ที่ผ่านมาถือว่าอยู่ในแกนที่2 นี้ด้วย เพราะมีอุตสาหกรรมหลายอย่างเตรียมเข้าไปตั้งฐานผลิตและมีแผนเข้าไปลงทุน อันจะส่งผลให้รายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชนถูกยกระดับให้สูงขึ้นทั่วประเทศ
แกนที่3 ภาคการธนาคารเพื่ออนาคต เพื่อให้คนเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น
ปัญหาสำคัญประการหนึ่ง ที่ทำให้คนจำนวนมาก ไม่สามารถพัฒนาตัวเองให้หลุดพ้นจากความยากจนได้ นั่นคือไม่มีโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนที่จะนำไปประกอบอาชีพ หรือขยายธุรกิจของตนเอง ชาวไทยกว่า 30 ล้านคนไม่สามารถกู้เงินได้ บางคนไม่มีแม้แต่บัญชีธนาคาร หลายต่อหลายคนต้องหันไปกู้เงินนอกระบบมาเป็นทุนประกอบอาชีพ นำมาซึ่งปัญหามากมาย อย่าง ดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบที่สูงเกินไปอย่างมากจนทำให้ผู้กู้ไม่สามารถผ่อนชำระได้ นายทุนเงินกู้นอกระบบจึงยึดที่ดินทำกินหรือทรัพย์สินค้ำประกันอื่นของผู้กู้ไปแทน ซึ่งรัฐบาลได้แก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบมาอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นภาคธนาคารจะมีการพัฒนานำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้และขยายเงินกู้ออกไปให้กว้างขึ้น เพื่อให้ประชาชนกว่า 30 ล้านคนดังกล่าวเข้าถึงแหล่งทุนในระบบธนาคารได้มากขึ้น ไม่ต้องไปพึ่งเงินกู้นอกระบบอีก ที่สำคัญจะได้นำเงินกู้ในระบบที่ถูกต้องไปต่อยอดธุรกิจ สร้างอนาคตและความมั่งคั่งให้ตัวเองได้ และจะส่งผลต่อการกระตุ้นความมั่งคั่งให้กับประเทศตามไปด้วย
โดยเรื่องนี้รัฐบาลได้วางรากฐานในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เป็นลำดับ ไม่ว่าจะเป็นการริเริ่มระบบพร้อมเพย์ การสร้างแอพฯเป๋าตัง ให้เป็นเครื่องมือในการทำธุรกรรมได้หลากหลาย ไม่ใช่แค่รับสิทธิประโยชน์จากภาครัฐเท่านั้น
สำหรับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใชัในภาคธนาคารให้มากขึ้นจากนี้ จะเป็นการ “พลิกโฉมภาคการธนาคารให้เป็นผู้ช่วยเหลือประชาชนมากขึ้น”
บทเรียนจากเพื่อนบ้าน: เสถียรภาพทางการเมือง และความต่อเนื่องของนโยบาย คือปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ
กลยุทธ์ภาพใหญ่ 3แกนหลัก จะสำเร็จหรือไม่ ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งคือ “ความต่อเนื่อง” ของนโยบายและการทำงาน
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ทั้ง 3แกนหลัก ที่นายกรัฐมนตรีมุ่งหวังจะใช้เป็นเครื่องมือในการยกระดับความรุ่งเรือง สร้างอนาคตประเทศ กระจายความมั่งคั่งอย่างทั่วถึงนั้น เป็นสิ่งที่ได้เริ่มทำมาแล้ว และยังต้องดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง จึงจะเห็นผลสำเร็จ
มีตัวอย่างของผู้นำหรือผู้บริหารประเทศที่มีเสถียรภาพหรือความมั่นคงทางการเมืองสูง มีโอกาสบริหารประเทศต่อเนื่องจนทำให้การพัฒนาประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย
ลี กวนยู นายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ บริหารประเทศกว่า 30 ปี (พ.ศ.2502 – 2533) เขาทำการแปลงประเทศจากด่านอาณานิคมค่อนข้างด้อยพัฒนา ไม่ค่อยมีทรัพยากรธรรมชาติ ก้าวกระโดดสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เป็นเสือเศรษฐกิจเอเชียตัวที่4 ต่อจาก ฮ่องกง เกาหลีใต้และไต้หวัน โดยเฉพาะการทำให้สิงคโปร์กลายเป็นท่าเรือสำคัญและศูนย์กลางธุรกิจการเงินของเอเชีย
ผลงานเด่นของ ลี กวนยู เช่น วางรากฐานการศึกษาให้มั่นคง ให้ประชาชนได้เรียนรู้ 2 ภาษาเพื่อการสื่อสารติดต่อกับต่างประเทศได้ดีส่งผลให้สิงคโปร์เติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ, จัดระเบียบสังคมส่งเสริมให้ประชาชนเคารพกฎระเบียบและกฎหมาย รักษาความสะอาดบ้านเมือง อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นำมาซึ่งความมีระเบียบวินัยสูงของคนส่วนใหญ่ในประเทศ, ดึงนักลงทุนเข้ามาช่วยพัฒนาประเทศ, สร้างสาธารณูปโภคโครงสร้างพื้นฐานที่ดีระดับโลก ทำให้คุณภาพชีวิตประชาชนอยู่ในระดับดีมาก หลายประเทศใช้สิงคโปร์เป็นต้นแบบในการพัฒนาประเทศ
มหาเธร์ โมฮัมหมัด เคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย 2 สมัย โดยเฉพาะสมัยแรกบริหารประเทศต่อเนื่องกว่า 22ปี ( 2524-2546) เขาเป็นผู้บุกเบิกและวางรากฐานมาเลเซียจากประเทศสังคมเกษตรกรรมล้าหลัง ทำสวนยางพารา ปาล์มน้ำมันและเหมืองแร่เป็นหลัก สู่การเป็นประเทศเศรษฐกิจอุตสาหกรรมชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน และตลอดระยะการเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรกของมหาเธร์ มาเลเซียเป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเป็นที่น่าจับตาของโลก จนกลายเป็นเสือเศรษฐกิจเอเชียตัวที่5
ส่วนนโยบาย วิสัยทัศน์และผลงานเด่นๆ อย่าง นโยบายมองตะวันออก (Look East) หรือการมองญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นต้นแบบในการพัฒนาประเทศ , วิสัยทัศน์ 2020 เพื่อนำพามาเลเซียสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว, ผลักดันให้เกิดการผลิตรถยนต์แห่งชาติมาเลเซีย ภายใต้ชื่อ “โปรตอน” ซึ่งสามารถปั๊มตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมให้มาเลเซียได้เป็นอย่างดี
ผู้นำที่ประสบความสำเร็จในการบริหารประเทศไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วดังที่ยกตัวอย่างมา ล้วนมีความมั่นคงในสถานะทางการเมืองและใช้เวลาในการสานงานให้ต่อเนื่อง ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลของไทยในปัจจุบันได้วางรากฐานและริเริ่มทำจนประสบความสำเร็จไปแล้วหลายส่วนควรได้รับการสานงานให้ต่อเนื่อง เพื่อให้การพัฒนาประเทศตามกลยุทธ์ภาพใหญ่ 3 แกนหลักสร้างอนาคต ที่เป็นส่วนสำคัญหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ประสบความสำเร็จ อันจะส่งผลให้ประเทศพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางสู่การเป็นประเทศที่ประชาชนมีรายได้สูงและเป็นประเทศพัฒนาแล้วต่อไป