กรณี บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมยางรถยนต์ระดับโลก สัญชาติญี่ปุ่น อย่าง “บริดจสโตน” ประกาศจะปิดโรงงานหล่อดอกยางเครื่องบินที่ฮ่องกง แล้วย้ายฐานผลิตมายัง จ.ชลบุรี ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ของไทยในปีหน้า2566 แทน เพราะเห็นว่าทำเลที่ตั้งของEEC ใกล้ประเทศลูกค้ารายสำคัญในเอเชียและโอเชียเนียมากกว่า ส่งผลให้ลดต้นทุนการขนส่งสินค้าได้
กรณีนี้ สะท้อนให้เห็นอย่างหนึ่งว่า EEC ของไทยอยู่ในที่ตั้งอันได้เปรียบ เป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนภูมิภาคอาเซียนเชื่อมต่อไปยังเอเชียแปซิฟิกและภูมิภาคอื่นๆได้ จึงทำให้บริษัทอุตสาหกรรมจากทั่วโลกเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง จนการลงทุนในEEC เฟสแรกทะลุเป้าและใช้เวลาน้อยกว่าที่วางเอาไว้ถึง 1 ปี ทางบอร์ดEEC ต้องปรับให้เฟส2 มาเร็วขึ้น เพื่อสานต่อสู่เป้าหมายอีกระดับให้เกิดการลงทุนมากกว่าเดิม ซึ่งสอดรับกับแกนที่2ของกลยุทธ์ภาพใหญ่ 3 แกนหลักสร้างอนาคตไทยที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ประกาศให้เกิดการลงทุนและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมมากขึ้น เพื่อเป็นกลไกสำคัญหนึ่งในการแก้ปัญหาความยากจน ยกระดับประเทศให้พ้นกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลางสู่ประเทศที่ประชาชนมีรายได้สูงและเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
ลงทุน EEC เฟส2 มาเร็วกว่าเดิม หลังเฟส1 ทะลุเป้าเร็วกว่ากำหนด1ปี
ข้อมูลจาก คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) หรือบอร์ดEEC พบเป้าหมายให้เกิดการลงทุนในEEC เฟสแรกที่เดิมวางไว้ 5 ปี คือระหว่างปี 2561-2565 ให้เกิดการลงทุน 1.7 ล้านล้านบาท แต่ปรากฏว่าผ่านไปเพียง 4 ปี คือ 2561-2564 ยอดการลงทุนทะลุเป้าอยู่ที่กว่า 1.722 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหลัก มูลค่ารวม 654,921 ล้านบาท ในจำนวนนี้ใช้งบประมาณภาครัฐลงทุนไปเพียง 5% ที่เหลือเป็นการลงทุนของเอกชนที่ลงทุนร่วมกับภาครัฐ หรือ PPP ขณะที่การลงทุนอีก 985,799 ล้านบาท มาจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่มาลงทุนใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย อย่าง ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การแพทย์ครบวงจร การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การแปรรูปอาหาร ดิจิทัล หุ่นยนต์ การบินและโลจิสติกส์ โดยมีนักลงทุนจากต่างประเทศที่มาลงทุนในEEC มีมูลค่ามากสุด 5อันดับแรก ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน และสวิสเซอร์แลนด์
นอกจาก การลงทุนใน 4 โครงสร้างพื้นฐานหลักแล้ว ก็มีกลุ่มทุนขนาดใหญ่เข้ามาลงทุนในEEC เฟส1 ไปแล้วหลายร้อยโครงการ เกิดการจ้างงานประมาณ 3 – 4 หมื่นตำแหน่ง ยกตัวอย่างกลุ่มทุนที่เข้ามาลงทุนแล้ว
- Enegy China ทุนใหญ่ด้านพลังงานจากจีน ลงทุนโรงไฟฟ้าไฮบริดในสนามบินอู่ตะเภา
- อาลีบาบา ยักษ์ใหญ่E-Commerce จากจีน ลงทุนด้านการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลและการค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce)
- คิงซอฟท์ จากจีน ลงทุนด้านผลิตซอฟต์แวร์ เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์ผลิตซอฟแวร์อาเซียน
- 5 บริษัทด้านเทคโนโลยี จากสหรัฐฯ นำโดย ซิสโก้ ซิสเต็มส์ และ มาเวนเนีย ซิสเท็มส์ ลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลแก่ภาคอุตสาหกรรม
- บริษัท บี กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ลงทุนสร้างโรงไฟฟ้า 8 แห่ง ใน จ.ระยองและชลบุรี
- กิจการร่วมค้าไทยโอมิกส์ เช่าพื้นที่ในมหาวิทยาลัยบูรพา เพื่อสร้างศูนย์การแพทย์จีโนมิกส์ ให้บริการถอดรหัสพันธุกรรม เป็นต้น
เมื่อการลงทุน ในเฟสแรกทะลุเป้าและเร็วกว่ากำหนดถึง1ปี ทางบอร์ดEEC จึงเดินหน้าปรับให้เฟส2 มาเร็วขึ้น กำหนดให้อยู่ระหว่างปี 2565-2569 หรือภายใน5 ปี มีเป้าให้เกิดการลงทุนอีกไม่น้อยกว่า 2.2 ล้านล้านบาท และยังเน้นให้เกิดการลงทุนใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า100% หรือรถEv ที่รัฐบาลมุ่งหวังให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอาเซียนและศูนย์การผลิตสำคัญแห่งหนึ่งของโลก ทางบอร์ดEEC จึงจะเร่งเชิญชวนค่ายรถให้มาลงทุนในพื้นที่EEC มากขึ้น
โดยขณะนี้ มีค่ายรถจากจีนและญี่ปุ่น ลงนามกับกระทรวงการคลังเพื่อรับการสนับสนุนสิทธิประโยชน์ด้านภาษีตั้งฐานผลิตรถEv ในไทยแล้วอย่างน้อย 4 ค่าย แต่ด้วยทำเลที่ตั้งของEECและไทย ที่มีความได้เปรียบเป็นประตูสู่อาเซียน เอเชียแปซิฟิกและเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคอื่นๆของโลกได้ รวมทั้งภาครัฐสนับสนุนสิทธิประโยชน์ด้านภาษี และตลาดของไทยเองก็มีความต้องการใช้รถEv สูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี ทั้งหมดจึงเป็นสิ่งดึงดูดให้ค่ายรถมาตั้งฐานผลิตรถEv มากขึ้นแน่นอน ซึ่งจะส่งผลให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอาเซียนและศูนย์การผลิตสำคัญแห่งหนึ่งของโลกได้ตามเป้าหมาย
นอกจากรถ Ev แล้ว ในเฟส2 ของEEC ยังจะเน้นสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัล การแพทยสมัยใหม่ และโลจิสติกส์ ภายใต้บริบทของเศรษฐกิจสีเขียว หรือBCG ซึ่งนายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการEEC มั่นใจว่าทั้งหมดจะส่งผลให้มีมูลค่าการลงทุนในEEC เพิ่มขึ้นประมาณ 400,000 ล้านบาท/ปี และจะเป็นกลไกหลักผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตเต็มศักยภาพ 4.5-5% ต่อปี ส่งผลให้ไทยพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางก้าวสู่ประเทศพัฒนาที่คนไทยมีรายได้สูงขึ้นในปี 2572
แน้วโน้มลงทุนปีนี้สดใส คาดเกินเป้า 4.4 แสนล้าน
เป้าหมาย ให้เกิดการลงทุนในEEC เฟส2 ระยะเวลา 5ปี ที่ 2.2 ล้านล้านบาท หากคิดเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ปีละ 440,000 ล้านบาท โดยปีนี้เป็นปีแรกของเฟส2 มีการลงทุนผ่านการขอรับการส่งเสริมลงทุนในพื้นที่EEC จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ใน 3 เดือนแรก ม.ค.- มี.ค.ไปแล้ว 107 โครงการ มูลค่าการลงทุน 60,360 ล้านบาท ส่วนมากเป็นอุตสาหกรรมดิจิทัล การแพทย์ ยานยนต์และชิ้นส่วน เทคโนโลยีชีวภาพ ระบบอัติโนมัติและหุ่นยนต์ ท่องเที่ยว การเกษตร แปรรูปอาหาร โดยนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนมากสุด 5 อันดับแรกมาจาก ไต้หวัน ญี่ปุ่น จีน สหรัฐฯ และสิงคโปร์
ขณะที่ การประชุมบอร์ดBOI ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธาน เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่EEC รวมมูลค่า 209,478 ล้านบาท ได้แก่ กิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ของบริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด มูลค่า 36,100 ล้านบาท โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ของบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด มูลค่า 162,318 ล้านบาท กิจการผลิตเส้นใยและกิจการผลิตผ้าที่มีคุณสมบัติพิเศษของกลุ่มบริษัท คิงบอร์ด โฮลดิ้งส์ มูลค่ารวม 8,230 ล้านบาท และการขยายกิจการผลิตไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชั่น ของบริษัท ไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ จำกัด มูลค่า 2,830 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากรวมมูลค่าการลงทุนใน 2 ส่วน คือ 3 เดือนแรกของปีกับกรณีที่บอร์ดBOI อนุมัติไปเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้มีมูลค่าการลงทุนไปแล้วกว่า 269,838 ล้านบาท จึงคาดว่าเวลากว่า 5 เดือนที่เหลือของปีนี้จะมีมูลค่าการลงทุนรวมทั้งปีเกินค่าเฉลี่ยเป้าหมายให้เกิดการลงทุนต่อปีที่ 440,000 ล้านบาทได้
ภาครัฐเดินหน้าให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายพื้นที่EEC สานต่อแกน2 กลยุทธ์ภาพใหญ่ 3 แกนหลัก
การลงทุนใน EEC สำเร็จได้ในแต่ละเฟสและจะสำเร็จได้โดยภาพรวมทั้งหมด น่าจะมาจากทางรัฐบาลและหน่วยงานเกี่ยวข้องช่วยผลักดันมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มโครงการปี 2561 ถึงปัจจุบัน เห็นได้จากการที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกำกับดูแลโครงการด้วยตัวเองในฐานะประธานบอร์ดEECและBOI, การชักชวนนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลุงทุนในทุกโอกาสที่ได้พบปะกับภาคเอกชนหรือรัฐบาลต่างประเทศ, การออกไปโรดโชว์ทั้งในและต่างประเทศของบอร์ด BOI และ EEC เพื่อชักชวนนักลงทุน , การให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนอย่างเหมาะสม เพื่อกระตุ้นให้เอกชนเข้ามาลงทุน, การอนุมัติและเร่งรัดการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในEEC ของคณะรัฐมนตรี ทั้งสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก การพัฒนาปรับปรุงท่าเรือแหลมฉบัง – ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เร่งให้เกิดการก่อสร้าง รถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม3 สนามบิน อนุมัติสร้างศูนย์กลางธุรกิจEEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ เพื่อดึงดูดและรองรับการลงทุนภาคอุตสาหกรรมเป้าหมายและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของEEC เป็นต้น
ที่ยกตัวอย่าง มาเป็นสิ่งที่รัฐบาลและหน่วยงานเกี่ยวข้องดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และยังต้องสานต่อพันธกิจนี้ต่อไป เพื่อให้การพัฒนาภาคอุตสาหกรรมในEEC รวมถึงพื้นที่อื่นของประเทศเป็นกลไกสำคัญผลักดันให้ไทยเป็นประเทศที่ประชากรมีรายได้สูงและเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี2575 หรือเร็วกว่านั้น ตามกลยุทธ์ภาพใหญ่ 3แกนหลักสร้างอนาคตและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นั่นเอง