อภ.เตรียมหาวัคซีน!! “ฝีดาษรุ่น 3” คาดเข้าหลังกลางเดือน ส.ค. นี้

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงการณ์สถานการณ์โรคฝีดาษวานรประเทศไทย ยังมีผู้ติดเชื้อฝีดาษวานร 2 ราย โดยรายแรกเป็นชายชาวไนจีเรีย ที่มีการหลบหนีไปกัมพูชา ซึ่งจากการประสานทราบว่าหายดีแล้ว ส่วนการติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและค้นหาเชิงรุกในพื้นที่ จ.ภูเก็ต จำนวน 50 กว่าราย ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ในพื้นที่ ส่วนรายที่ 2 เป็นชายไทย มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดชายต่างประเทศ ผู้สัมผัสร่วมบ้าน 18 คน ผลตรวจทุกคนเป็นลบ อยู่ในระบบคุมไว้สังเกตอาการจนครบ 21 วัน ส่วนผู้สัมผัสใกล้ชิดต่างชาติรายแรกผลตรวจเป็นลบ ส่วนอีกรายคาดว่าออกนอกประเทศไปแล้ว กำลังตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

โรคฝีดาษวานร ไม่ได้ติดต่อง่ายหรือมีความรุนแรง จึงใช้มาตรการป้องกันคัดกรองผู้เดินทางจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่เชื้ออยู่ที่ตุ่มหนองที่ผิวหนัง ขอให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีตุ่มฝีตุ่มหนอง ซึ่งการมีเพศสัมพันธ์ถือเป็นการสัมผัสใกล้ชิดรูปแบบหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีมาตรการเฝ้าระวังในสถานพยาบาล หากพบผู้ป่วยตุ่มฝีตุ่มหนองให้ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ถ้าพบผู้ป่วยจะควบคุมกลุ่มเสี่ยงไม่ให้แพร่กระจายเชื้อต่อ

สายพันธุ์ ของเชื้อฝีดาษวานรมี 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์แอฟริกากลาง อัตราการเสียชีวิตสูงกว่า สายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก 10 เท่า แต่การระบาดรอบนี้แทบทั้งหมดเป็นสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ย่อย B.1 ซึ่งข้อมูลใน GISAID เป็น B.1 มากกว่า 80-90% ซึ่งผู้ป่วยรายที่ 2 ของประเทศไทยเป็นสายพันธุ์นี้ ส่วนสายพันธุ์ย่อย A.2 พบน้อยมากมีไม่ถึง 40 ตัวอย่าง จาก 700-800 ตัวอย่างใน GISAID หรือไม่ถึง 10% ซึ่งผู้ป่วยรายแรกของไทยเป็นสายพันธุ์ย่อย A.2

วัคซีนฝีดาษ ไม่จำเป็นต้องฉีดให้คนไทยทุกคน แต่ต้องเลือกกลุ่มที่เหมาะสม โดยการฉีดวัคซีนชนิดใดในวงกว้าง จะคำนึง 4 ปัจจัย คือ ประสิทธิภาพ ผลข้างเคียง สถานการณ์การระบาด และความเป็นไปได้ในการจัดบริการ ซึ่งขณะนี้ประสานองค์การเภสัชกรรมในการจัดหาวัคซีนฝีดาษรุ่นที่ 3 จำนวน 1 พันโดส ฉีดคนละ 2 โดส คาดว่าจะหาเข้ามาได้ในช่วงครึ่งเดือนหลังของสิงหาคมนี้ ซึ่งวัคซีนรุ่นที่ 3 มีผลข้างเคียงน้อยกว่า โดยจะมีการประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคเพื่อกำหนดระยะห่างในการฉีดและกลุ่มเป้าหมายต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง