ติดโควิด ร่วม ไข้หวัดไข้ใหญ่ อาการหนักกว่าเดิม

ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี กรรมการแพทยสภาและอดีตนายกแพทยสมาคม แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า จากสภาวะอากาศที่มีฝนตกหนักหลายพื้นที่ เป็นปัจจัยทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิดได้มากขึ้น โดยเฉพาะคนที่อยู่รวมกันในพื้นที่แออัด เช่น บนระบบขนส่งสาธารณะ หรือเข้าไปหลบฝนในห้องแอร์อากาศถ่ายเทไม่สะดวก

ทางการแพทย์พบว่าปัจจัยกระตุ้นทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิดช่วงหน้าฝนประกอบด้วย

ละอองฝอย จากการไอจามจะอยู่ในอากาศได้นานกว่าฤดูอื่น มีโอกาสแพร่กระจายได้ไกลมากขึ้น

ความชื้น เป็นปัจจัยส่งเสริมทำให้เชื้อโควิด อยู่ในสภาพอากาศได้นาน การแพร่ระบาดจะเกิดจากการสัมผัสกับวัตถุที่มีสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อในพื้นที่สาธารณะ

ปัจจัยอื่นๆ ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดฝนตกช่วงเวลาเร่งด่วน ผู้คนจะเข้าไปหลบฝนในพื้นที่เดียวกันจำนวนมาก ทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อได้มากขึ้นกว่าเดิม

สำหรับคนที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่พร้อมกับการติดเชื้อโควิด มีโอกาสป่วยหนัก เพราะกลไกการติดเชื้อมีลักษณะคล้ายกัน เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะมีการแบ่งตัวไปยังเซลล์ส่วนต่างๆ เพิ่มมากขึ้น จนส่งผลกระทบให้เกิดการอักเสบบริเวณเยื่อบุหลอดลมและปอด รวมถึงมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียได้มากกว่าเดิม ดังนั้นควรจะดูแลสุขภาพไม่ให้ติดเชื้อพร้อมกัน และควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีนป้องกันโควิด เพื่อให้มีภูมิคุ้มกัน หากมีการติดเชื้อจะทำให้ไม่มีอาการรุนแรง

“การสร้างภูมิคุ้มกันควรฉีดทั้งวัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีนป้องกันโควิด เพราะตำแหน่งในการป้องกันเชื้อจะอยู่คนละตำแหน่ง ดังนั้นถ้ามีการเตรียมความพร้อมในการสร้างภูมิคุ้มกันทั้งสองที่ จะทำให้ความรุนแรงของโรคลดลง ขณะเดียวกันถ้ามีการแพร่ระบาดจำนวนมาก และคนในประเทศไม่เข้มงวดในการป้องกัน จะทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น จนทำให้มีการกลายพันธุ์ได้”

ไม่เคยติดโควิด แต่อาจเคยได้รับเชื้อหากไม่ป้องกัน

“ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร” กล่าวถึงป้องกันไม่ให้ติดเชื้อโควิดช่วงหน้าฝน ต้องหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในพื้นที่แออัด เพราะถ้าผู้ติดเชื้อเกิดไอจาม เชื้อที่ออกจากร่างกายมาสู่อากาศภายนอกจะอยู่ได้นานมากขึ้น ขณะเดียวกันควรหลีกเลี่ยงการพูดคุยในพื้นที่แออัด ซึ่งมีคนอยู่รวมกันมากกว่า 10 คน

สิ่งสำคัญคือการสวมหน้ากากอนามัยเพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่เชื้อจะเข้าสู่ร่างกาย เพราะปกติเชื้อโควิดมีโอกาสเข้าสู่ร่างกายได้ตลอดเวลา แต่หน้ากากอนามัยจะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น คนที่สวมหน้ากากอนามัยจะมีเชื้อโควิดเข้าสู่ร่างกายแค่ 1-2 ตัว เมื่อมีภูมิคุ้มกันจากวัคซีนในร่างกายจะทำลายเชื้อที่เข้ามา ทำให้ไม่เกิดการแพร่กระจายของเชื้อในร่างกาย

ส่วนคนที่เข้าไปในพื้นที่ชุมชนหนาแน่น โดยไม่สวมหน้ากากอนามัย เชื้อมีโอกาสเข้าสู่ร่างกายได้จำนวนมาก โดยภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีนจะไม่สามารถต่อสู้ได้ จึงทำให้เกิดการติดเชื้อ เกิดอาการปวดเมื่อย มีไข้ และผลกระทบจากอาการลองโควิดตามมา

“คนที่ไม่เคยเป็นโควิดก็ไม่ได้หมายความว่าเชื้อไม่เคยเข้าสู่ร่างกาย แต่อาจเคยเข้าไปแล้วจำนวนน้อย บางกรณีเชื้อโควิดเข้าสู่ร่างกาย แต่ไม่แสดงอาการเพราะมีภูมิต้านทานจากวัคซีนประมาณ 3 เข็ม ซึ่งถ้าไม่ตรวจ ATK ก็จะไม่รู้ตัวเอง และอาจแพร่กระจายเชื้อให้กับคนอื่นโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเด็กที่ต้องไปโรงเรียน และเรียนอยู่ในห้องแอร์ มีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิดแบบไม่รู้ตัวจำนวนมาก”

ขณะที่เกณฑ์ของคนที่ต้องไปฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นคือ หลังจากฉีดวัคซีนไปแล้ว 3-4 เดือน ส่วนคนที่เพิ่งติดเชื้อโควิด ควรเว้นระยะการฉีดวัคซีนประมาณ 3 เดือน เนื่องจากยังมีภูมิคุ้มกันที่สูงอยู่

สำหรับกลุ่มผู้ที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนป้องกันโควิดยังน่าเป็นห่วง เพราะด้วยปัจจัยสภาพอากาศทำให้เชื้ออยู่ได้นาน จึงมีโอกาสได้รับเชื้อมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรได้รับวัคซีน ส่วนคนที่ยังต่อต้านไม่ยอมไปฉีดวัคซีน อยากให้ทำความเข้าใจ เพราะตอนนี้มีการฉีดวัคซีนไปแล้วทั่วโลก ผลกระทบที่เกิดขึ้นยังมีน้อย ดังนั้นไม่ควรต่อต้าน แต่ควรฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเองและคนรอบข้าง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง