พลเรือเอกสมประสงค์ นิลสมัย ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มอบหมายให้ พลเรือเอก สุวิน แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เป็นผู้แทนในการเป็นประธานในงาน “วันเรือดำน้ำ” 2565 วันที่4กันยายน 2565
เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติ ให้แก่อดีตทหารเรือที่เป็นนักดำเรือดำน้ำ และรำลึกถึงอดีตนักดำเรือดำน้ำผู้ล่วงลับไปแล้ว
และรำลึกประวัติศาสตร์การมีเรือดำน้ำของกองทัพเรือ รวมทั้งเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับบทบาทความสำคัญของเรือดำน้ำ และแนวคิดในการดำเนินงานเกี่ยวกับการพัฒนาขีดความสามารถเรือดำน้ำของ ทร.ในปัจจุบัน
ทั้งนี่เมื่อวันที่ 4กันยายน พ.ศ2460หรือเมื่อ 85 ปีที่แล้ว เป็นวันที่สำคัญยิ่งอีกหน้าหนึ่งที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของกองทัพเรือไทย ที่กองทัพเรือได้ประกอบพิธีรับมอบเรือดำน้ำ คือ เรือหลวงมัจฉาณุ และเรือหลวงวิรุณ ณ อู่ต่อเรือ มิตซูบิชิ เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น
ธงราชนาวีไทยได้โบกสะบัดอย่างสง่างามบนยอดเสาเรือดำน้ำ ณ บริเวณท้ายเรือหลวงมัจฉาณุ และเรือหลวงวิรุณเป็นครั้งแรกซึ่งนับได้ว่าเป็นเรือดำน้ำ 3 ลำแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ก่อนสร้างต่อจนครบทั้ง 4ลำ ตามสัญญาการว่าจ้างจากกองทัพเรือเสร็จสมบูรณ์ ประกอบด้วย เรือหลวงมัจฉาณุ เรือหลวงวิรุณ เรือหลวงสินสมุทร และเรือหลวงพลายชุมพล โดยเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน 2481 เรือดำน้ำทั้ง 4ลำ ได้ออกเดินทางจากประเทศญี่ปุ่นและเดินทางถึงประเทศไทยเมื่อ29 มิถุนายน 2481 ตามลำพัง โดยปราศจากเรือพี่เลี้ยงซึ่งยังความประหลาดใจแก่ชาวญี่ปุ่นรวมทั้ง ชาวอเมริกันเป็นอันมากเนื่องด้วยเรือดำน้ำขนาดเล็กเช่นนี้ การออกทะเลหลวงในยามปกติ มักมีเรือพี่เลี้ยงคอยติดตามอยู่ใกล้ๆ ในระยะปลอดภัยทั้งสิ้น นับเป็นการแสดงถึงความกล้าหาญและความสามารถของกำลังพลประจำเรือดำน้ำของกองทัพเรือ ที่ได้ปรากฏแก่สายตาอารยะประเทศ
นอกจากนี้ ระหว่างที่เรือดำน้ำทั้ง ๔ ลำ ประจำการมีภารกิจที่สำคัญที่ต้องจารึกไว้คือ เมื่อกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส แม้ว่าเรือหลวงธนบุรี และเรือตอร์ปิโดของไทยถูกเรือรบฝรั่งเศสยิงจมลง
แต่ทว่าเรือหลวงมัจฉาณุ เรือหลวงวิรุณ เรือหลวงสินสมุทร และเรือหลวงพลายชุมพลก็ มิได้เสียขวัญยังคงปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบอย่างสุดความสามารถ โดยได้วางกำลังลาดตระเวนอยู่บริเวณหน้าฐานทัพเรือเรียมของอินโดจีน-ฝรั่งเศส โดยในเวลากลางวันจะทำการดำอยู่ใต้น้ำ
ส่วนกลางคืนแล่นลาดตระเวนบนผิวน้ำเพื่อประจุแบตเตอรี่ นับเป็นปฏิบัติการใต้น้ำเพื่อเป็นการปกป้องอธิปไตยในยามสงครามครั้งแรกของเรือดำน้ำไทยโดยภายหลัง จดหมายเหตุฝ่ายฝรั่งเศสจารึกยุทธนาวีที่เกาะช้างไว้ว่าฝรั่งเศสมีความหวั่นเกรงเรือดำน้ำทั้ง ๔ ลำ ของไทย เป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจหลีกเลี่ยงการเข้ามาปฏิบัติการในอ่าวไทยหากมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด จะเข้าพื้นที่ปฏิบัติการเพื่อปฏิบัติภารกิจ ที่ได้รับมอบในช่วงระยะเวลาอันสั้น และเมื่อปฏิบัติการแล้วเสร็จจะถอนกำลังกลับทันที เนื่องด้วยเกรงว่าจะถูกโจมตีจากเรือดำน้ำ
พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และจอมพลเรือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ที่ได้ทรงวางรากฐานกิจการเรือดำน้ำให้แก่กองทัพเรือ และพร้อมใจกันร่วมเชิดชูเกียรติประวัติ ของกำลังพลประจำเรือดำน้ำแห่งราชนาวีไทยในอดีต ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยกล้าหาญ ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญาสละเลือดเนื้อและชีวิตให้กับกองทัพเรือและอธิปไตยของประเทศชาติ
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีผลประโยชน์ทางทะเล นับเป็นหลายล้านล้านบาทต่อปี และนับวันจะทวีมูลค่ามากขึ้นในอนาคต ดังนั้น การปกป้องผลประโยชน์ของชาติทางทะเล โดยการเสริมสร้างกำลังทางเรือ จึงเป็นความจำเป็น เพื่อให้มีกำลังทางเรือที่สมดุลทัดเทียมกันในภูมิภาค หรือ เพื่อให้มีศักยภาพในการรบที่ใกล้เคียงกันหรือเหนือกว่า
ทั้งนี้ในปัจจุบันประเทศต่างๆ ในภูมิภาคได้เสริมสร้างกำลังทางเรือเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกำลังเรือดำน้ำ ทำให้เมื่อเปรียบเทียบขีดความสามารถของกำลังทางเรือแล้ว กองทัพเรือมีความเสียเปรียบอย่างยิ่ง จึงมีความจำเป็นต้องจัดหาเรือดำน้ำเข้าประจำการ จึงจะรักษาสมดุลย์กำลังทางเรือในการรักษาความมั่นคงทางทะเลในปัจจุบันได้ โดยเรือดำน้ำ ถือเป็นเรือรบที่มีศักยภาพสูงที่สุดในบรรดาเรือรบด้วยกัน เป็นอาวุธที่มองไม่เห็น ตรวจจับยาก ปฏิบัติการได้ไกล และมีอำนาจการทำลายรุนแรง สามารถสร้างความยำเกรงให้กับฝ่ายตรงข้ามที่มีกำลังทางเรือเหนือกว่าอย่างมากได้ เรือดำน้ำจึงจะเข้ามาเสริมเติมเต็ม ให้กองทัพเรือมีขีดความสามารถครบทุกมิติ คือ ผิวน้ำ ใต้น้ำ และ ในอากาศ ซึ่งจะเป็นหลักประกันในการรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติอย่างมั่นคง