รถไฟฟ้าสายสีเหลือง – ชมพู ใกล้เปิดบริการ กทม.และปริมณฑล จ่อขึ้นเบอร์ 1 อาเซียน เมืองที่มีทางรถไฟฟ้ายาวสุด และ “24 โครงการระบบรางยุคนายกฯ ประยุทธ์ “
นับตั้งแต่มีรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีการอนุมัติโครงการรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลไปแล้ว 12 เส้นทาง ระยะทางรวม 207.9 กม. ถือได้ว่าอนุมัติมากสุดกว่าทุกยุคสมัย โดย 3 เส้นทาง สายสีเหลือง สายสีชมพู และสายสีส้มฝั่งตะวันออก การก่อสร้างโดยรวมคืบหน้าไปกว่า 90% เฉพาะสายสีเหลืองกับสีชมพู จะเริ่มวิ่งทดสอบเสมือนจริงในเดือนหน้า( ต.ค.) ก่อนเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปีหน้า 2566 ซึ่งเมื่อ 2 สายนี้เปิดแล้วจะทำให้กรุงเทพฯ และปริมณฑล ขึ้นเป็นเมืองที่มีเส้นทางรถไฟฟ้ายาวเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน
นอกจากรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล หากรวมระบบรางอื่นทั้ง รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อนุมัติไปแล้ว 24 โครงการ รวมระยะทาง 2,702.9 กม. และยังมีแผนการดำเนินการต่อในอนาคตให้โครงข่ายระบบรางครอบคลุมทั้งประเทศ เพื่อช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ลดต้นทุนการขนส่ง กระจายรายได้และความเจริญสู่ท้องถิ่นที่ห่างไกล
โมโนเรลเหลืองและชมพู วิ่งทดสอบเสมือนจริง ต.ค.นี้ ส้มตะวันออก ก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ
โครงการรถไฟฟ้ารางเดี่ยว(โมโนเรล) สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 30.4 กม. มีความคืบหน้าโดยรวม 94.56% ส่วนโมโนเรลสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี ระยะทาง 34.5 กม. มีความคืบหน้าโดยรวม 90.55% ทั้ง 2 สายจะเริ่มวิ่งทดลองเสมือนจริง(Trial Run) ในเดือนตุลาคม 2565 นี้ และจะวิ่งให้บริการเต็มรูปแบบได้ในปีหน้า 2566
ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ระยะทาง 22.57 กม. มีความก้าวหน้าผลการดำเนินงาน 95.94% เร็วกว่าแผน 0.24% แต่ยังไม่มีกำหนดเวลาการวิ่งทดสอบ เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการจัดหาขบวนรถ
ปัจจุบันกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีรถไฟฟ้าวิ่งให้บริการแล้ว 8 สาย(สี) 11 เส้นทาง ระยะทางรวม 211.94 กม. แต่เมื่อรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพู เปิดวิ่งบริการเต็มรูปแบบในปีหน้า2566 จะทำให้มีรถไฟฟ้าวิ่งให้บริการเพิ่มเป็น 10 สาย(สี) 13 เส้นทาง ระยะทางรวม 276.84 กม. ขึ้นเป็นเมืองอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียนที่มีเส้นทางรถไฟฟ้ายาวที่สุด
อนุมัติรถไฟฟ้าเขต กทม.และปริมณฑลมากสุดเป็นประวัติการณ์
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล นับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีจนถึงปัจจุบัน ได้อนุมัติไปแล้ว 12 เส้นทาง ระยะทางรวม 207.9 กม. ดังนี้
1. สายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-ศาลายา) 14.8 กม.
2. สายสีแดงเข้ม (รังสิต-ธรรมศาสตร์) 8.9 กม.
3. สายสีม่วง (เตาปูน-ราษร์บูรณะ) 23.6 กม.
4. สายสีทอง (กรุงธนบุรี-ประชาธิปก) 2.7 กม.
5. สายสีแดงอ่อน (พญาไท-หัวหมาก) 14.9 กม.
6. สายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-หัวลำโพง) 11 กม.
7. สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) 22.5 กม.
8. สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) 34.5 กม.
9. สายสีชมพูส่วนต่อขยาย (ศรีรัช-เมืองทองธานี) 3 กม.
10. สายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) 30.4 กม.
11. สายสีส้มตะวันตก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม) 35.9 กม.
12. สายสีแดง (ตลิ่งชัน-ศิริราช) 5.7 กม.
การอนุมัติทั้ง 12 เส้นทาง ระยะทางรวม 207.9 กม.นี้ นับได้ว่าเป็นการอนุมัติมากสุดเท่าที่เคยมีมา มากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา เมื่อแล้วเสร็จจะทำให้มีระยะทางรวมเกือบ 420 กม. และในอนาคตอันใกล้จะมีการอนุมัติโครงการในส่วนที่เหลือ เพื่อให้ครบ14 สาย(สี) ระยะทางรวมประมาณ 560 กม. ภายในปี 2570 ตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นอาจทำให้กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นเมืองที่มีเส้นทางรถไฟฟ้ายาวเป็นอันดับต้นๆของโลก
อนุมัติรถไฟทางคู่ 9 โครงการ ปีนี้เปิดใช้เพิ่มอีก 5 เส้นทาง
รถไฟทางคู่ เป็นโครงการพัฒนาระบบรางตามแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 – 2565 และอยู่ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้อนุมัติไปแล้ว 9 โครงการ รวมระยะทาง 1,667 กม. ดังนี้
1. ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย ระยะทาง 106 กม.
2. ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 187 กม.
3. ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 84 กม.
4. ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กม.
5. ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 145 กม.
6. ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 169 กม.
7. ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กม.
8. ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 322 กม.
9. ช่วงบ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 355 กม.
ทั้งนี้โครงการรถไฟรางคู่ เฟสที่ 1(ระยะเร่งด่วน) มีจำนวน 7 เส้นทาง ระยะทางรวม 985 กม.สร้างเสร็จและเปิดให้บริการไปแล้ว 2 เส้นทาง ได้แก่ ช่วงชุมทางฉะเชิงเทรา-ชุมทางคลองสิบเก้า-ชุมทางแก่งคอย และช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น และในปีนี้ 2565 จะเปิดใช้เพิ่มอีก 5 เส้นทาง ได้แก่
-ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 145 กม.
-ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 135 กม.
-ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 169 กม.
-ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทางรวม 76 กม.
-ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทางรวม 167 กม.
ส่วนเฟสที่ 2 มีทั้งหมด 7 เส้นทาง ระยะทางรวม 1,483 กม. ได้แก่ ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา และช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการขออนุมัติโครงการช่วงขอนแก่น-หนองคาย ก่อนตามด้วยอีก 6 เส้นทาง
โครงการรถไฟความเร็วสูง 3 โครงการ 828 กม.
ส่วนรถไฟความเร็วสูง รัฐบาลได้อนุมัติไปแล้ว 2 โครงการ และเตรียมขออนุมัติอีก 1 โครงการ ได้แก่
1. รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา ระยะทาง 253 กม. อยู่ระหว่างการก่อสร้างงานโยธา จะเปิดวิ่งให้บริการได้ในปี 2570
2. รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง-อู่ตะเภา ระยะทาง 220 กม.จะเปิดวิ่งให้บริการได้ประมาณปี 2570
3. รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 355 กม. คาดว่าจะอนุมัติโครงการได้ในปีนี้ เริ่มก่อสร้างได้ในปีหน้า2566 และเปิดวิ่งให้บริการได้ในปี 2571
ทั้งหมดที่ว่ามา คือ 24 โครงการระบบราง ระยะทางรวม 2,702.9 กม. ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งสร้างเสร็จเปิดใช้งานแล้ว กำลังก่อสร้าง ได้รับการอนุมัติโครงการ และเตรียมขออนุมัติ โดยจากนี้จะมีการเดินหน้าพัฒนาโครงข่ายระบบรางต่อให้สำเร็จตามแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งฯ ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพิ่มศักยภาพและลดต้นทุนการขนส่ง ลดปัญหาการจราจรติดขัดในเมืองใหญ่ กระจายรายได้และความเจริญสู่ท้องถิ่นที่ห่างไกล นั่นเอง