นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ กนง. ระบุว่า กนง.ได้ชั่งน้ำหนักขนาดการขึ้นดอกเบี้ยแต่ละรอบแล้ว ซึ่งการขึ้นแค่ 0.25% เพราะไม่อยากให้ต้นทุนด้านการเงินธุรกิจและครัวเรือนเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป โดยจะเห็นธนาคารพาณิชย์ขึ้นดอกเบี้ยได้ตั้งแต่รอบนี้เป็นต้นไป แต่เชื่อว่าธนาคารจะยังดูแลลูกหนี้ครัวเรือนที่มีความเปราะบางที่ยังมีอยู่มาก มีหลายภาคธุรกิจ หลายครัวเรือนรายได้ยังฟื้นไม่เต็มที่ โดยธนาคารจะมองการช่วยเหลือลูกหนี้ระยะยาวด้วย ไม่ได้ระยะสั้นเหมือนที่ผ่านมา
ขณะที่การอ่อนค่าของค่าเงินบาทที่ทะลุ 38.00 บาทต่อดอลลาร์ มาอยู่ที่ 38.34 บาทต่อดอลลาร์ ในภายหลังผลประชุม กนง.ออกมา ซึ่งทำสถิติอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 16 ปีนั้น ธปท.ไม่ได้มีความกังวล เพราะเงินบาทที่อ่อนค่าแรงนี้ มาจากเงินดอลลาร์แข็งค่าเป็นหลัก เพราะนักลงทุนมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด เร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแรงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเงินดอลลาร์แข็งค่าถึง 18% มากสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ค่าเงินสกุลอื่นทั่วโลกอ่อนค่าลง รวมถึงเงินบาทได้อ่อนค่านับจากต้นปี 12% แต่ยังอยู่ระดับกลางๆ ในภูมิภาค
นอกจากนี้ยังไม่กังวลเงินทุนไหลออก เพราะตอนนี้นับจากต้นปียังเป็นบวกอยู่ โดยนักลงทุนต่างชาติยังมีมุมมองเศรษฐกิจไทยพื้นฐานดี เสถียรภาพแข็งแกร่ง เงินทุนสำรองเทียบจีดีพีสูงเป็นอันดับ 6 ของโลก และสัดส่วนทุนสำรองต่อหนี้ต่างประเทศระยะสั้นมากถึง 3 เท่า สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติได้ ยืนยันไม่มีปัญหาเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกจากประเทศ
“การเก็งกำไร มีมุมมองหลากหลาย ถ้ามองตัวอย่างตลาดหุ้นไทย นักลงทุนมองยะยะยาวมองพื้นฐานเศรษฐกิจระยะยาว ยังมั่นใจในไทย โอกาสเงินบาทแข็งค่ายังมีอยู่ ค่าเงินบาทยังอ่อนปัจจัยจากดอลลาร์แข็ง เป็นปัจจัยเฉพาะ ซึ่งไทยเองแข็งค่าขึ้นได้ จากการท่องเที่ยวส่วนหนึ่ง และนักลงทุนมองปัจจัยพื้นฐานของประเทศมากกว่า คาดกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ในปีหน้า”