จากกรณี สำนักข่าว เดอะ การ์เดียน รายงานถึงการบังคับใช้แรงงานเมียนมาของโรงงานแห่งหนึ่งใน อ. แม่สอด จ. ตาก โดยไม่เป็นธรรมและแรงงานได้ยื่นฟ้องต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานของไทย เพื่อเรียกร้องสิทธิให้ได้รับค่าจ้างค้างชำระแต่กรมฯ สั่งจ่ายเฉพาะค่าชดเชยเลิกจ้างและค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่านั้น ทำให้แรงงานรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมนั้น
นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน ชี้แจงว่า โรงงานดังกล่าวคือ บริษัท วี เค การ์เม้นท์ จำกัด เป็นกิจการรับจ้างเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูป มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร และสำนักงานสาขาตั้งอยู่ที่จังหวัดตาก โดยเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2563 นายทูนทูน (Tun Tun) กับพวกรวม 136 คน ลูกจ้างสัญชาติเมียนมา ได้ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดตาก ว่าบริษัท วี เค การ์เม้นท์ จำกัด นายจ้าง เลิกจ้างโดยค้างจ่ายค่าจ้าง ค่าจ้างในวันหยุดตามประเพณี ค่าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ ค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณี ค่าล่วงเวลาในวันทำงาน ค่าชดเชย และค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันที่ผิดนัด
ตามที่พนักงานตรวจแรงงาน ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยานเอกสารจากฝ่ายลูกจ้างนายจ้างแล้วซึ่งมีคำสั่งเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2563 ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้กับลูกจ้าง 134 คน รวมเป็นเงิน 5,204,430 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับจากวันผิดนัด สำหรับลูกจ้างอีก 2 คน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายจ้างยังไม่มีการเลิกจ้าง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย และค่าบอกกล่าวล่วงหน้า
สำหรับประเด็นค่าจ้างที่ลูกจ้างร้องว่านายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างตามประกาศอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และไม่จ่ายค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณีนั้น จากการสอบข้อเท็จจริงและตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง พบว่าลูกจ้างได้รับค่าจ้างดังกล่าวจากนายจ้างครบถ้วนตามสิทธิแล้ว พนักงานตรวจแรงงานจึงไม่มีคำสั่งในประเด็นดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการออกคำสั่ง ทั้งสองฝ่ายได้ยื่นอุทธรณ์เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ต่อศาลแรงงานภาค 6 (นครสวรรค์) ซึ่งเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2565 ศาลแรงงานภาค 6 ได้พิพากษาคดีดังกล่าว โดยมีคำพิพากษาว่า คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานชอบด้วยกฎหมายแล้ว และแก้ไขในส่วนของอายุงาน ค่าชดเชยของลูกจ้างผู้ร้อง โดยให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเพิ่มเติมอีก จำนวน 1,615,950 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2565 ทั้งสองฝ่ายได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลแรงงานภาค 6 ซึ่งขณะนี้ประเด็นดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
ทั้งนี้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกำกับดูแลให้นายจ้างสถานประกอบกิจการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานอย่างเคร่งครัด รวมทั้งส่งเสริมแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practice : GLP) ไปใช้ในการบริหารจัดการแรงงานในสถานประกอบกิจการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานอีกทางหนึ่งด้วย