นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงต่อข้อกังวลวิกฤตภาษามลายูในจังหวัดชายแดนใต้ ของตัวแทนภาคประชาสังคม ณ เวทีสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 28 พ.ย.62 ว่า รัฐบาลได้ดำเนินการส่งเสริมให้เยาวชนในพื้นที่เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพและส่งเสริมอัตลักษณ์วัฒนธรรมและภาษาท้องถิ่นเป็นเวลาหลายปีแล้ว ด้วยการสนับสนุนงบประมาณโรงเรียนตาดีกา สถาบันศึกษาปอเนาะ และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ซึ่งทั้ง3 สถาบันนี้เป็นแหล่งให้ความรู้ทางด้านศาสนาและภาษาแก่เยาวชนมุสลิมในพื้นที่ โดยเฉพาะโรงเรียนตาดีกา ที่ตั้งอยู่ในชุมชน ซึ่งเด็กระดับประถมจะไปเรียนในวันเสาร์-อาทิตย์
ในส่วนของสถาบันศึกษาปอเนาะ การเรียนการสอน สำหรับเด็กมัธยมเป็นไปอย่างสอดคล้องกับวิถีชาวบ้าน ให้ความรู้ทั้งทางศาสนาและภาษามลายู เสริมด้วยวิชาสามัญเพื่อทักษะในการประกอบอาชีพเท่าทันสถานการณ์ มากไปกว่านั้น ปัจจุบันนี้กระทรวงศึกษาได้จัดทำหลักสูตรกลางอิสลามศึกษา สำหรับผู้สนใจในระดับชั้นประถม มัธยมต้นและปลาย ทั้งในแบบภาษาไทยและมลายู ซึ่งกระทรวงฯไม่ได้เข้าแทรกแซง แต่เป็นการจัดทำหลักสูตรร่วมกันระหว่างศึกษานิเทศก์ที่มีความเชี่ยวชาญ โต๊ะครู และสมาคมโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม ต่อคำกล่าว เรื่องการไม่ใช้ภาษามลายู เป็นชื่อสถานที่ นั้น รองโฆษกรัฐบาลชี้แจงว่า ชื่อหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยว หากมีชื่อเรียกภาษามลายูอยู่ก่อนแล้ว ชื่อนั้นก็ยังใช้อยู่ทุกวันนี้ เช่น บ้านตะบิงติงงี บ้านคาแวะ ต.กาบัง ต.สะเอะ อ.เจาะไอร้อง อ.ระแงะ หาดตะโล๊ะสะมีแล หาดตะโละกาโปร์
ขอให้ประชาชนและนานาชาติมั่นใจ ต่อนโยบายของรัฐบาลที่เคารพในเสรีภาพในการนับถือศาสนาของคนทุกกลุ่ม และส่งเสริมอัตลักษณ์และวัฒนธรรมอันหลากหลาย รวมถึงการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เพราะนั่นคือหัวใจของสันติภาพอย่างแท้จริง และขอให้พิจารณาข้อมูลต่างๆที่เผยแพร่ด้วยความหนักแน่น อย่าตกเป็นเครื่องมือการสร้างความเกลียดชัง เพราะกระแสจากภายนอกจะกระทบวิถีชีวิตคนในพื้นที่และอาจขยายวงไปสู่ประเด็นอื่น วันนี้คนไทยพุทธและไทยมุสลิมไม่ได้มีความขัดแย้งต่อกัน และประเทศไทยไม่มีความขัดแย้งทางศาสนาหรือวัฒนธรรมแต่อย่างใด
นางสาวบุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แจ้งข้อเท็จจริง ในเรื่องนี้เพิ่มเติมกรณีนายฮาซัน ยามาดีบุ ผู้แทนองค์กรบุหงารายา กล่าวที่สหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ซึ่งมีการเผยแพร่คลิปทางสื่อออนไลน์ ดังนี้
1. การประชุม UN Forum on Minority Issues เป็นเวทีเสวนาประเด็นชนกลุ่มน้อย ภายใต้กรอบคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council-HRC) ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในปีนี้ การประชุมฯ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 28-29 พ.ย. 62 มีหัวข้อหลัก คือ “การศึกษา ภาษา และสิทธิมนุษยชนของชนกลุ่มน้อย”
2. การประชุมตลอดทั้ง 2 วัน กล่าวถึงประเด็นการเรียนการสอนภาษาของชนกลุ่มน้อยในภาพรวม วิทยากรและผู้เข้าร่วมการประชุม ซึ่งเปิดให้ทุกภาคส่วนเข้าร่วม ไม่ใช่เฉพาะผู้แทนภาครัฐ ได้หยิบยกกรณีของประเทศต่าง ๆ หลายสิบประเทศ โดยไม่ได้เน้นกรณีของไทย
3. นายฮาซัน ยามาดีบุ ผู้แทนองค์กร Bungaraya Group for Education (บุหงารายา) ไม่ใช่ผู้อภิปรายหรือวิทยากร แต่เป็นหนึ่งในผู้แทนภาคประชาสังคมจำนวนมากที่เข้าร่วมเวทีเสวนา ในวาระที่วิทยากรอภิปรายจบประธานได้ให้โอกาสผู้เข้าร่วมกล่าว นายฮาซันฯ เป็นหนึ่งในผู้แทนภาคประชาสังคมที่กล่าวและใช้เวลา 2 นาที ทั้งนี้ การประชุมในกรอบสหประชาชาติมีการถ่ายทอดผ่านเว็บไซต์ จึงเป็นที่มาของคลิปที่เห็นในในห้วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
4. สิ่งที่นายฮาซันฯ กล่าวคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง จึงเป็นเรื่องที่ต้องชี้แจง สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกมาชี้แจงให้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนแล้วตามข้างต้น
5. ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ จะชี้แจงกับประธานร่วมของเวทีเสวนาและผู้เสนอรายงานพิเศษว่าด้วยสิทธิของชนกลุ่มน้อย โดยจะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อบูรณาการข้อมูล จัดส่งให้ประธาน/ผู้เสนอรายงานพิเศษรับทราบข้อเท็จจริง
6.ในกรอบใหญ่ในประชาคมระหว่างประเทศ ประเทศไทยได้รับการยอมรับในเรื่องการเป็นสังคมที่เคารพในความหลากหลายทางวัฒนธรรม ศาสนา และเผ่าพันธุ์ แม้แต่ผู้แทนของ OIC ที่ไปลงพื้นที่ดูงานในจังหวัดชายแดนใต้หลายครั้งหลายหนก็ได้แสดงความยอมรับและชื่นชม
7. รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับเรื่องอัตลักษณ์ และได้สนับสนุนงบประมาณโรงเรียนตาดีกา สถาบันศึกษาปอเนาะ และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนมาโดยตลอด