นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน ชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องการที่แรงงานไทยจะได้ไปเก็บผลไม้ป่าที่สวีเดนและฟินแลนด์ จำนวนกี่คน ใครได้รับอนุญาตบ้างนั้น ในแต่ละปีจะต้องมีการประชุมร่วมกัน 3 ฝ่าย คือ สถานทูตไทยประจำประเทศฟินแลนด์และสวีเดน ประเทศต้นทาง และกรมการจัดหางาน ถึงจำนวนแรงงานที่ต้องการจัดส่ง โดยประเทศต้นทางจะเป็นผู้อนุมัติและมีหนังสือขอโควตาจำนวนคนงานที่จะให้ไปเก็บผลไม้ป่า
ส่วนกรณีการคุ้มครองดูแล ประเทศฟินแลนด์ไม่มีสัญญาจ้างให้กับคนงาน เนื่องจากกฎหมายในประเทศฟินแลนด์ไม่เอื้อ กรมการจัดหางาน จึงได้ผลักดันให้บริษัทผู้ประสานงานในประเทศไทยจัดทำสัญญาจ้างงานให้คนงานไทยทุกรายก่อนเดินทางออกจากประเทศไทย และแจ้งให้สถานทูตฟินแลนด์ประจำประเทศไทยทราบ เพื่อยืนยันรูปแบบนายจ้างในประเทศไทยขออนุญาตพาลูกจ้างไปทำงานในต่างประเทศ แต่ประเทศสวีเดนกฎหมายกำหนดให้บริษัทสามารถทำสัญญาจ้างงานระหว่างนายจ้างกับคนงานได้ หากบริษัทผู้ประสานในประเทศไทยผิดสัญญา กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จะเข้าไปดำเนินการตรวจสอบสัญญาจ้างตามกฎหมายเพื่อให้มีการดูแลคนหางานอย่างครอบคลุมเข้มงวดยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ได้กำหนดให้บริษัทผู้รับซื้อผลไม้ป่าฟินแลนด์/บริษัทผู้ประสานงานต้องจัดเตรียมสวัสดิการทั้งที่พัก ห้องน้ำ ห้องสุขา ห้องรับประทานอาหาร อุปกรณ์ของใช้ส่วนตัวและอุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 ให้คนงานไทยทุกคน รวมทั้งต้องทำประกันการเดินทาง ประกันอุบัติเหตุ และประกันสุขภาพ
ส่วนเรื่องของการประกันรายได้ ฟินแลนด์กำหนดให้บริษัทผู้รับซื้อผลไม้ป่าฟินแลนด์/บริษัทผู้ประสานงาน ต้องประกันรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 30,240 บาท โดยวางหลักประกัน ณ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ส่วนที่สวีเดน สหภาพแรงงานของสวีเดนได้มีเงินประกันรายได้ให้คนงานคนละ 24,000 โครน คิดเป็นเงินไทยกว่า 80,000 บาท ทั้งนี้ หากรายได้คนงานไม่ถึงจำนวนดังกล่าว บริษัทผู้ประสานงานในประเทศไทยจะต้องรับผิดชอบในการจ่ายคนงานให้ครบ
ส่วนกรณีกรมการจัดหางานสร้างความน่าเชื่อถือให้เอกชน โดยจัดอบรมให้แรงงานก่อนไปเก็บผลไม้ป่านั้น โดยปกติแล้วกรมการจัดหางานมีการจัดอบรมให้ความรู้แก่แรงงานไทยทุกคนก่อนเดินทางไปทำงานต่างประเทศทุกประเทศอยู่แล้ว อาทิ อิสราเอล ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เพื่อให้แรงงานได้ปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง แต่ในส่วนของสวีเดนและฟินแลนด์ บริษัทผู้ประสานงานในประเทศไทย เป็นผู้จัดอบรมเอง และบริษัทฯ ได้เชิญข้าราชการกระทรวงแรงงานไปเป็นวิทยากรให้ความรู้แก่แรงงาน ไม่ได้มีการเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาในปี 2565 บริษัทผู้ประสานงานในประเทศไทยได้จัดส่งคนงานไปเก็บผลไม้ป่าที่สวีเดนและฟินแลนด์ประมาณ 10,000 กว่าคน ในจำนวนนี้พบว่า มีแรงงานไทยที่มีปัญหาในเรื่องรายได้ที่ได้ต่ำกว่า 30,000 บาทนั้น มีอยู่ประมาณ 375 คน ซึ่งส่วนใหญ่ร้อยละ 80 เป็นแรงงานไทยที่เดินทางไปเก็บผลไม้ป่าเป็นครั้งแรก ไม่มีประสบการณ์ความชำนาญในการเก็บผลไม้ป่า ทำให้มีรายได้น้อย